เนื้อหาในบทความนี้
อะไรคือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นถูกใช้เพื่อที่จะช่วยพวกเราในการคาดเดาราคาในอนาคตและจากความชันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ คุณจะสามารถระบุทิศทางของราคาตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นมีอยู่หลายประเภท และแต่ละประเภทนั้นจะมีระดับ “ความราบรื่น” ที่ต่างกันปกติแล้ว ยิ่งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นมีความราบรื่นมากเท่าไร การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาจะยิ่งช้าลง
และยิ่งค่าเฉลี่ยมีการเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไร การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาก็จะยิ่งเร็วขึ้น และเพื่อที่จะทำให้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มีความราบรื่นมากขึ้น คุณควรที่จะใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดจากช่วงระยะเวลาที่ยาวขึ้น
เราจะเริ่มต้นโดยการอธิบายให้คุณทราบถึงประเภท 2 ประเภทหลักของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (Simple Moving Average: SMA)
2. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน (Exponential Moving Average: EMA)
นอกจากนี้ เราจะสอนเกี่ยวกับวิธีการคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ด้วย
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA)
มาอธิบายกันง่ายกว่า
การคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ SMA
ถ้าหากกราฟตั้งค่าระยะเวลา 1 ชั่วโมง
คุณพล็อตค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายจาก 5 ช่วงเวลาลงบนกราฟระยะเวลา 1 ชั่วโมง คุณจะต้องบวกราคาปิดในช่วง 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา แล้วหารจำนวนนั้นด้วย 5
หากคุณพล็อตค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายจาก 5 ช่วงเวลาลงบนกราฟระยะเวลา 30 นาที คุณจะต้องบวกราคาปิดในช่วง 150 นาทีที่ผ่านมา แล้วหารจำนวนนั้นด้วย 5
แพคเกจกราฟส่วนใหญ่นั้นจะมีระบบคำนวณทั้งหมดให้โดยอัตโนมัติ แต่การรู้วิธีการคำนวณไว้ก็เพื่อที่จะช่วยคุณสามารถปรับเปลี่ยนหรือปรับปรุงอินดิเคเตอร์นี้ด้วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง
ตัวบ่งชี้ที่มีในโลกนี้ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำงานได้อย่างล่าช้า เนื่องจากคุณใช้ค่าเฉลี่ยของประวัติราคาที่ผ่านมา คุณจะเห็นเส้นทางทั่วไปของอดีตที่ผ่านมาและทิศทางทั่วไปของการเคลื่อนไหวในอนาคตของราคาระยะสั้น
ดังนั้นเรามาดูกันว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะช่วยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างไร
ในกราฟด้านบน เราได้พล็อต SMA 3 เส้นที่ต่างกันลงบนกราฟช่วง 1 ชั่วโมงของค่าเงิน USD/CHF และอย่างที่คุณเห็น ยิ่งช่วงระยะเวลาของ SMA นานขึ้นเท่าไร มันจะยิ่งช้ากว่าราคาในปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น
สังเกตได้จากที่ 62 SMA นั้นเป็นเส้นที่ห่างจากราคาปัจจุบันมากกว่า 30 SMA และ 5 SMA นั่นเป็นเพราะว่า 62 SMA นั้นเป็นการรวมราคาปิดจากระยะเวลาทั้ง 62 ช่วงและหารผลรวมนั้นด้วย 62ยิ่ง SMA มีช่วงระยะเวลานานขึ้นเท่าไร มันจะตอบสนองกับการเคลื่อนไหวของราคาช้าลงเท่านั้น ซึ่ง SMA ในกราฟนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวม ณ เวลานี้ และตอนนี้ คุณสามารถเห็นว่าคู่ค่าเงินนี้นั้นกำลังอยู่ได้รับความนิยม
แต่แทนที่จะดูเพียงแค่ราคาปัจจุบันของตลาด ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะทำให้เรามองเห็นภาพได้กว้างขึ้น และจะสามารถวัดทิศทางของราคาในอนาคตได้ และด้วยการใช้ SMA เราจะสามารถบอกได้ว่าคู่ค่าเงินคู่ไหนที่กำลังอยู่ในขาขึ้น ขาลง หรือปกติ
แต่มันก็มีอยู่หนึ่งปัญหาที่เกี่ยวกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) พวกมันอ่อนไหวง่ายกับการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างฉับพลัน ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น มันจะส่งสัญญาณหลอกให้กับพวกเรา เราอาจคิดว่าเทรนด์ค่าเงินอาจพัฒนารูปแบบใหม่ๆขึ้นมาได้ แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้บทเรียนต่อไปจึงแนะนำค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ประเภทต่าง ๆ
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน (EMA)
ราคาปิดของ 5 วันที่ผ่านมาเท่ากับราคาดังต่อไปนี้:
วันที่ 1: 1.3172
วันที่ 2: 1.3231
วันที่ 3: 1.3164
วันที่ 4: 1.3186
วันที่ 5: 1.3293
โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายจะสามารถคำนวณได้ดังต่อไปนี้
(1.3172 + 1.3231 + 1.3164 + 1.3186 + 1.3293) / 5 = 1.3209
หากมีการรายงานข่าวในวันที่ 2 ที่ทำให้เงินยูโรร่วงจะเป็นอย่างไร?
มันจะทำให้ค่าเงิน EUR/USD นั้นร่วงและปิดการเทรดลงที่ราคา 1.3000 เรามาดูกันว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้างกับค่า SMA จาก 5 ช่วงเวลานี้
วันที่ 1: 1.3172
วันที่ 2: 1.3000
วันที่ 3: 1.3164
วันที่ 4: 1.3186
วันที่ 5: 1.3293
โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย(SMA)จะสามารถคำนวณได้ดังต่อไปนี้:
(1.3172 +1.3000 + 1.3164 + 1.3186 + 1.3293) / 5 = 1.3163
ผลลัพธ์ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย(SMA)นั้นต่ำลงมาก และมันจะทำให้คุณคิดว่าราคาจะลดลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงการลดราคาลงเฉพาะในวันที่ 2 เท่านั้น ซึ่งเป็นการลดลงของราคาเพียงแค่ครั้งเดียวที่เกิดจากผลการรายงานทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก สิ่งที่เราต้องการที่จะอธิบายนั้นคือ ในบางครั้งค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย(SMA)นั้นอาจจะง่ายเกินไป หากมีวิธีที่คุณจะสามารถคัดกรองการปรับเปลี่ยนของราคาอย่างฉับพลันออกไปได้ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน (EMA) นั้นจะให้น้ำหนักกับช่วงระยะเวลาล่าสุดมากที่สุด
ในตัวอย่างด้านบน EMA นั้นจะให้น้ำหนักกับราคาล่าสุด ซึ่งคือวันที่ 3, 4 และ 5 และมันยังหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาในวันที่ 2 นั้นจะมีน้ำหนักน้อยกว่า และจะไม่ส่งผลกระทบที่ใหญ่มากนักกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย(SMA)อย่างที่มันจะกระทบ
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ SMA
เรามาลองดูกันที่กราฟค่าเงิน USD/JPY ในช่วงระยะเวลา 4 ชั่วโมงเพื่อเน้นให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน (EMA) นั้นจะมีรูปร่างอย่างไรเมื่อนำมาวางคู่กันบนกราฟ
สังเกตว่าเส้นสีแดง (30 EMA) นั้นดูเหมือนว่าจะใกล้เคียงกับราคามากกว่าเส้นสีน้ำเงิน (30 SMA) นี่หมายความว่ามันมีความแม่นยำในการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมราคาในปัจจุบันมากกว่า และคุณน่าจะเดาได้ว่าทำไม มันเป็นเพราะว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อนนั้นให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากกว่า ในระหว่างการเทรด สำหรับเทรดเดอร์นั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันสำคัญกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่เเล้วหรือเมื่อเดือนที่เเล้ว
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA vs. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ SMA
เนื่องจาก EMA จับการเคลื่อนไหวของเทรนด์ได้อย่างรวดเร็วซึ่งจะส่งผลให้มีผลกำไรที่มากขึ้น ยิ่งคุณพบเทรนด์ได้เร็วขึ้นเท่าไร คุณจะอยู่ในเทรนด์นั้นได้นานมากขึ้นและสามารถกอบโกยผลกำไรได้มากขึ้นด้วย
แต่ข้อเสียของการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่วิธีนี้ คือ คุณอาจโดนหลอกได้ในช่วงที่ราคามีการกระจุกตัว(Consolidation period:ช่วงเวลาที่มีเปลี่ยนโดยไม่รู้สึกถึงทิศทาง)
เนื่องจากว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นตอบสนองต่อราคาอย่างรวดเร็ว คุณอาจคิดว่าอาจมีการก่อตัวของแนวโน้มราคาอยู่ ทั้งๆที่มันอาจเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันชั่วคราว และนี่เป็นตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ที่ทำงานเร็วเกินไปสำหรับผลดีของคุณ และสำหรับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย จะเป็นทุกอย่างที่ตรงกันข้าม
ต่อไปเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA)
หากคุณต้องการให้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นมีความราบรื่นมากขึ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมของราคาให้ช้าลง SMA ที่มีระยะช่วงเวลาที่ยาวนั้นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด และมันจะได้ผลอย่างดี
หากเรามองไปที่กรอบระยะเวลาที่ยาวกว่าเดิม เนื่องจากมันสามารถช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของเทรนด์
ถึงแม้ว่ามันจะมีการตอบสนองต่อพฤติกรรมของราคาที่ค่อนข้างช้า มันจะช่วยป้องกันคุณจากสัญญาณลวง ผลเสียของวิธีนี้นั้นคือมันจะมีความล่าช้าอย่างมาก และคุณอาจพลาดราคาการเข้าที่ดี หรือพลาดการเทรดได้
การเปรียบเทียบที่ง่ายต่อการจำความแตกต่างระหว่าง SMAและ EMA คือ ให้นึกถึงกระต่ายและเต่า
เต่าจะช้า เหมือนกับ SMA ดังนั้น คุณอาจพลาดที่จะเข้าเทรนด์อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กระดองที่แข็งแรงก็ช่วยปกป้องตัวมันได้ เช่นเดียวกับการใช้ SMA ที่จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการถูกหลอก
ตรงกันข้าม กระต่ายนั้นรวดเร็ว เหมือนกับ EMA มันสามารถช่วยให้คุณเข้าเทรนด์ได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่คุณก็จะมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอก (หรือนอนหลับ หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ง่วงนอนอยู่ตลอด)
ตารางด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณจำข้อดีและข้อเสียของแต่ละชนิด
SMA | EMA | |
---|---|---|
Double | Displays a smooth chart which eliminates most fakeouts. | Quick Moving and is good at showing recent price swings. |
Cons | Slow moving, which may cause a lag in buying and selling signals. | More prone to cause fakeouts and give errant signals. |
แล้วอะไรมันดีกว่ากัน?
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดของคุณ ใช้ SMA หากคุณต้องการดูแนวโน้มโดยรวมหรือใช้ EMA หากคุณกำลังมองหาช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบ
ลองทั้งสองครั้งแล้วคุณจะเห็นว่าอันใดดีที่สุดสำหรับคุณ
มีกลยุทธ์การซื้อขายมากมายเกี่ยวกับการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แต่ในบทเรียนถัดไปให้เรียนรู้สิ่งต่อไปนี้
1. วิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มากำหนดเทรนด์
2. วิธีการรวมจุดครอสโอเวอร์ของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เข้ากับระบบการเทรดของคุณ
3. วิธีที่ค่าเฉลี่ยเคลือนที่นั้นสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก
การหาเทรนด์โดยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
วิธีการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่วิธีหนึ่ง คือการนำมันมาช่วยอ่านการขยับของเทรนด์
แต่ปัญหาสำหรับวิธีนี้นั้น คือ มันง่ายเกินไป
สมมติว่า USD/JPY นั้นอยู่ในช่วงขาลงตามตัวอย่างกราฟด้านล่าง แต่ข่าวที่รายงานออกมา ทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้น
จากผลนั้น คุณจะเห็นว่าราคาตอนนี้นั้นอยู่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และอาจจะคิดกับตัวเองว่า เหมือนว่าคู่ค่าเงินนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคานะ ถึงเวลาที่จะซื้อ (ฺBUY) แล้วและคุณก็ซื้อมัน เพราะคุณมั่นใจมากว่าราคา USD/JPY นั้นจะพุ่งขึ้น ก็จะทำให้ขาดทุนอย่างหนัก
อย่างที่คุณเห็น เทรดเดอร์นั้นตอบสนองกับข่าวที่ออกมา แต่เทรนด์นั้นยังคงดำเนินต่อไป และราคาก็ยังคงตกลงเรื่อยๆ
การพล็อตค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไว้ซักสองอันบนกราฟของพวกเขา แทนที่จะพล็อตค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพียงแค่อันเดียว นี่จะทำให้คุณเห็นสัญญาณที่แน่ชัดมากขึ้นว่าคู่ค่าเงินนี้อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือลง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลำดับของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
ในแนวโน้มขาขึ้น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่เคลื่อนไหว “เร็วกว่า” ควรจะอยู่เหนือค่าที่ “ช้ากว่า” และสำหรับแนวโน้มขาลง ก็จะเป็นในทางตรงข้าม
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรามีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อยู่ 2 ค่า: 10-period MA และ 20-period MA
เป็นกราฟคู่เงิน USD/JPY ด้านล่างดังนี้
ในช่วงขาขึ้นนั้น 10 SMA จะอยู่เหนือ 20 SMA คุณสามารถใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มาช่วยในการแสดงให้เห็นว่าคู่ค่าเงินนี้อยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้ง 2 ค่ากับการเคลื่อนไหวของกราฟจะทำให้ง่ายต่อการพิจารณาว่าควรจะเทรดในรูปแบบระยะสั้นหรือระยะยาว
แน่นอนคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่มากกว่า 2 ค่าขึ้นไป
วิธีการซื้อขายและใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นฟังก์ชั่นที่สะดวกสบายที่แจ้งการสิ้นสุดหรือการกลับตัวการซื้อขายวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเพียงแค่การแนะนำเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองสามตัวในกราฟ หากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กับเส้นอื่นทำการ crossover กัน สามารถตัดสินได้ว่าแนวโน้มแตกต่างกัน ทำให้คุณสามารถทำการซื้อขายที่ดีกว่าได้ลองมาตัวอย่างกราฟการซื้อขาย crossover อีกครั้งกันดีกว่า
ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนกรกฏาคมจะเห็นว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มีแนวโน้มขาขึ้น ราคาขึ้นไปจนถึง 124.0ก่อนที่จะลดลงอย่างช้าๆ และในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เราจะเห็นว่า 10 SMA นั้นตัดผ่านด้านใต้ของเส้น 20 SMA
หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลง
ถ้าทำการซื้อขายคุณจะได้กำไรจำนวนมาก
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนสามารถใช้โอกาสนี้ได้ บางคนอาจสูญเสียเงิน
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการตั้งค่า stop loss ระวังอย่าทำการซื้อขายโดยไม่มีการวางแผน
สรุป: การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นวิธีที่
เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของราคาราบรื่นขึ้น
– ประเภทของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่นั้นมีอยู่หลายประเภท แต่ 2 ประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดนั้นคือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายนั้นเป็นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ง่ายที่สุด แต่มันจะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของราคา
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน ให้น้ำหนักกับราคาในปัจจุบันมากกว่า ซึ่งหมายความว่าค่าเฉลี่ยนี้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เทรดเดอร์กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน
-การรู้ว่านักลงทุนทำอะไรในตอนนี้นั้นสำคัญกว่าการรู้ว่าพวกเขาทำอะไรเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือเดือนที่แล้ว
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายนั้นมี ความราบรื่น ของราคามากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่มีช่วงระยะเวลานานจะมีความราบรื่นของราคามากกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่มีช่วงระยะเวลาสั้น
– การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักซับซ้อน (EMU) นั้นสามารถช่วยให้พบเทรนด์ได้เร็วมากขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีสัญญาณหลอกจำนวนมาก
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายจะมีการตอบสนองต่อพฤติกรรมราคาที่ช้า แต่มันจะช่วยป้องกันคุณจากสัญญาณหลอกและการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างฉับพลันชั่วคราว
-อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันมีการตอบสนองที่ช้า มันจะทำให้คุณทำการเทรดได้ช้าลงและอาจทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆหลายโอกาสเลย คุณสามารถใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการระบุเทรนด์ ช่วงเวลาที่ควรเข้าออเดอร์ และช่วงเวลาที่เทรนด์กำลังจะสิ้นสุดลง
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถใช้เป็นได้ทั้งระดับแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิก
-หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ นั่นคือการพล็อตค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หลายๆประเภท เพื่อที่คุณจะได้สามารถเห็นถึงการเคลื่อนที่ทั้งในระยะยาว และในระยะสั้น
คุณเข้าใจมันใช่ไหม? ทำไมคุณไม่ลองเปิดโปรแกรมชาร์ตขึ้นมาและลองใส่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลงไปสักสองสามค่า จะได้ทราบว่าวิธีไหนดีที่สุดสำหรับตัวคุณ