เนื้อหาในบทความนี้
การวิเคราะห์พื้นฐาน
การวิเคราะห์พื้นฐานคืออะไร?
ถ้ารู้เกี่ยวกับ Forex อยู่เเล้ว คงจะต้องเจอการวิเคราะห์พื้นฐานที่หลากหลายไปแล้ว เนื่องจากบทเรียนก่อนนี้ได้พูดเกี่ยวกับว่าการวิเคราะห์พื้นฐานคืออะไรไปแล้ว โดยในบทเรียนนี้เราจะมาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์พื้นฐานกันไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณได้ยินคนพูดถึงเรื่องพื้นฐาน จริงๆแล้วพวกเขาพูดถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสกุลเงินประเทศนั้นๆ
พื้นฐานทางเศรษฐกิจนั้นครอบคลุมการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของเศรษฐกิจ การเมืองหรือรายงานสภาพแวดล้อม,ข้อมูล,การประกาศหรือเหตุการณ์ต่างๆ
รูปแบบของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์พื้นฐาน
การวิเคราะห์พื้นฐานให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาที่ควรจะหรืออาจจะส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ
ข้อมูลพื้นฐานนั้นมีหลากหลายรูปแบบ
มันปรากฎออกมาในรายงานโดย Fed เกี่ยวกับสถิติการขายบ้านในประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งมันอาจปรากฎในโอกาสที่ธนาคารกลางยุโรปนั้นจะเปลี่ยนนโยบายการเงินของเขา
การเผยแพร่ข้อมูลนี้ไปสู่สาธารณะมักจะเปลี่ยนพื้นที่ทางเศรษฐกิจ (หรือที่ดีกว่านั้น ความคิดทางเศรษฐกิจ) และสร้างปฎิกิริยาจากผู้ลงทุนและนักเก็งกำไร
แม้แต่ในกรณีที่ยังไม่มีรายงานเฉพาะเผยแพร่ออกมา แต่ความคาดหวังที่ว่ารายงานเหล่านั้นจะออกมานั้นเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของปัจจัยพื้นฐานเหล่านั้น
การเก็งกำไรอัตราดอกเบี้ยนั้นสามารถทำได้เป็น “ตั้งค่าราคา” ชั่วโมงหรือแม้แต่วัน ก่อนที่จะมีการประกาศอัตราดอกเบี้ยจริง
จริงๆแล้ว เราทราบกันอยู่แล้วว่าในบางครั้ง คู่สกุลเงินนั้นอาจเคลื่อนไหวไปมากกว่า 100 pips ก่อนที่จะมีข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ ทำให้เป็นช่วงเวลาที่สามารถสร้างผลกำไรให้กับผู้ที่กล้าทำการเทรดได้
มันเป็นเหตุผลว่าทำไมเทรดเดอร์ Forex หลายๆคนมักจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะมีการรายงานทางเศรษฐกิจ
โดยทั่วไปแล้ว ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจนั้นนับเป็นส่วนใหญ่ของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน ตัวบางชี้ทางเศรษฐกิจจะให้ข้อมูลเชิงลึกว่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นอยู่ในสภาพอย่างไร
ในขณะที่มันสำคัญที่จะรู้ค่าที่เป็นตัวเลขของตัวบ่งชี้ สิ่งที่มีความสำคัญเท่าๆกัน คือความคาดหวังของตลาดและการคาดเดาค่าของตัวบ่งชี้นั้น
การเข้าใจในผลกระทบที่เกิดขึ้นจากตัวเลขเหล่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับการพยากรณ์ค่าตัวเลขนั้นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนต้องมีการพิจรณาเมื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจทำการเทรด
การวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการประมาณเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในอนาคต แต่ไม่มากนัก สำหรับการคาดเดาทิศทางของราคาสกุลเงิน
การวิเคราะห์ประเภทนี้มีพื้นที่สีเทาหลายที่ เนื่องจากข้อมูลพื้นฐานในรูปแบบรายงาน การเผยแพร่ข้อมูลทางเศรษฐกิจหรือประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินนั้นมีความไม่แน่นอนมากกว่าตัวบ่งชี้ทางเทคนิค
การเผยแพร่การวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจและรายงานข้อมูลพื้นฐานมักจะเป็นเช่นนี้:
“การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้นอาจทำให้สกุลเงินEURเพิ่มขึ้น
“สกุลเงิน USD ควรที่จะลดลงไปหากตัวบ่งชี้มีค่าอยู่ในช่วงนั้น
“ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง 2% จากรายงานที่ผ่านมา
ตลาดมีแนวโน้มตอบสนองตามความรู้สึกของผู้คน ความรู้สึกเหล่านี้อาจขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของพวกเขาต่อรายงานทางเศรษฐกิจ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินเงื่อนไขตลาดปัจจุบัน
มีคนอีกมากมายที่มีทั้งความรู้สึกและความคิดแตกต่างกัน
คุณไม่มีทางที่จะรู้ได้อย่างชัดเจน 100% ว่าคู่สกุลเงินจะไปอยู่ที่จุดไหน เพราะข้อมูลพื้นฐานบางตัวเป็นข้อมูลใหม่
แต่เราไม่ได้หมายความว่าคุณควรที่จะเพิกเฉยการวิเคราะห์พื้นฐานนี้
เนื่องจากปริมาณข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ ผู้คนส่วนมากมักมีเวลาที่ยากลำบากที่จะเข้าใจมันทั้งหมด
ถึงแม้พวกเขาเข้าใจรายงานเฉพาะทางเหล่านั้น แต่ไม่สามารถแยกเป็นภาพเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นได้ มันจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาและความเข้าใจอย่างลึกซึงเกี่ยวกับข้อมูล
อีกทั้งเนื่องจากข้อมูลพื้นฐานส่วนใหญ่จะถูกรายงานเพียงหน่วยสกุลเงินเดียว ข้อมูลพื้นฐานสำหรับสกุลเงินอื่นๆนั้นยังคงจำเป็นที่ต้องนำมาเปรียบเทียบเพื่อให้ได้ภาพที่แม่นยำและชัดเจน
อยากที่เราได้กล่าวไป ทั้งหมดนี้นั้นเกี่ยวกับการจับคู่สกุลเงินที่แข็งแรงกับสกุลเงินที่อ่อนแอ
ในจุดนี้ คุณอาจยังรอคำตอบของคำถามว่า “การไม่ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรดหรือไม่?”
การวิเคราะห์ทางเทคนิคดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่นิยมมากกว่าของเทรดเดอร์ Forex ระยะสั้น เนื่องจากพวกเขามุ่งหวังไปที่พฤติกรรมของราคาเป็นหลัก
เทรดเดอร์ระยะกลางและระยะยาวนั้นมักที่จะมุ่งความสนใจไปที่การวิเคราะห์พื้นฐาน เพราะมันช่วยในเรื่องของการประเมินมูลค่าของค่าเงิน ควรใช้ทั้งคู่
กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปทางเทคนิคนั้นจะถูกปัดออกไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี หากมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้น ในอีกทาง เทรดเดอร์ที่ดูแต่การวิเคราะห์พื้นฐานนั้นจะพลาดโอกาสพื้นฐานระยะสั้นในการก่อตัวของรูปแบบและระดับต่างๆที่เกิดจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค การผสมเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานนั้นจะครอบคลุมทุกส่วน คุณจะทราบถึงกำหนดการการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ แต่ยังสามารถระบุและใช้เครื่องทางเทคนิคที่หลากหลายและรูปแบบที่ผู้เล่นในตลาดให้ความสำคัญ
ในบทเรียนนี้ เราจะพูดคุยกันในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่กระทบต่อสกุลเงิน
มีทั้งอัตราดอกเบี้ย, นโยบายการเงินและรายงานทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด
ทำไมอัตราดอกเบี้ยมีความสำคัญกับเทรดเดอร์ Forex
เงินเฟ้อ คือ การเพิ่มขึ้นในราคาสินค้าและบริการอย่างคงที่และต่อเนื่องตัวอย่างเช่น ในปี 1920 จ่ายค่าเครื่องดื่มเพียง 5 เซ็น แต่ในปัจจุบันเราจ่ายมากกว่า 20 เท่าให้กับสินค้าเดียวกัน สิ่งนี้เรียกว่า เงินเฟ้อมันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วกันว่าเงินเฟ้อนั้นมาพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่มากเกินไปนั้นก็สามารถเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมธนาคารกลางถึงคอยจับตามองตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กับเงินเฟ้อ เช่น CPI และ PCE
ประเทศ | ธนาคารกลาง |
---|---|
Australia | Reserve Bank of Australia (RBA) |
Canada | Bank of Canada (BOC) |
European Union | European Central Bank (ECB) |
Japan | Bank of Japan (BOJ) |
New Zealand | Reserve Bank of New Zealand (RBNZ) |
Switzerland | Swiss National Bank (SNB) |
United Kingdom | Bank of England (BOE) |
United States | Federal Reserve (FED) |
ในความพยายามที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่พอดี ธนาคารกลางมักจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้การเติบโตโดยรวมต่ำลงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง
มันเกิดขึ้นเพราะการตั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงมักจะบังคับให้ลูกค้าและธุรกิจทำการกู้ยืมน้อยลงและเก็บออมมากขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดน้อยลง การกู้ยืมจึงมีราคาแพงขึ้น ขณะที่การใช้เงินสดกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น
ในอีกทางหนึ่ง เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ลูกค้าและธุรกิจมีแนวโน้มที่จะกู้ยืมมากขึ้น (เพราะธนาคารมีความต้องการให้กู้ยืม) การส่งเสริมการค้าและการใช้จ่ายเงินทุน ดังนั้นจะช่วยเศรษฐกิจเติบโตขึ้น
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตลาด Forex ล่ะ?
มูลค่าของสกุลเงินนั้นขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย เพราะสิ่งเหล่านี้นั้นสามารถกำหนดการไหลของเงินทุนจากทั่วโลกไปยังและออกจากประเทศต่างๆ พวกมันเป็นสิ่งที่นักลงทุนนั้นใช้ในการตัดสินใจว่าพวกเขาควรที่จะลงทุนในประเทศ หรือไปที่ประเทศอื่น
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีตัวเลือกระหว่างบัญชีออมทรัพย์ที่เสนอดอกเบี้ย 1%และอีกที่ที่เสนอให้ 0.25% คุณจะเลือกอันไหน
แน่นอนว่าต้องเลือกดอกเบี้ย 1% เพราะได้รับดอกเบี้ยสูง สกุลเงินก็เช่นเดียวกัน
ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ก็มีแนวโน้มว่าสกุลเงินของประเทศนั้นจะแข็งแรง สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำก็มักจะมีแนวโน้มว่าจะอ่อนตัวลงในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่เราควรจะรู้ไว้คือ อัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงกับความรู้สึกของผู้เล่นในตลาดเกี่ยวกับคู่สกุลเงินเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น
การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยมีการคาดการณ์เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ต่างกัน อัตราดอกเบี้ยก็เช่นเดียวกันแต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบ่อย
เทรดเดอร์ Forex ส่วนใหญ่ไม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเขาในการมุ่งหาอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตลาดได้ตั้งราคา พวกมันรวมกันไว้อยู่แล้วในราคาสกุลเงิน แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือ การคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนั้นจะไปในทิศทางไหน
มันก็ยังคงสำคัญที่คุณควรจะรู้ว่าอัตราดอกเบี้ยนั้นมักที่จะเคลื่อนที่ไปในทางเดียวกันกับนโยบายทางการเงิน หรือให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น มันจะไปในทางเดียวกับจุดสิ้นสุดของวงจรการเงิน หากอัตราดอกเบี้ยนั้นตกลงเรื่อยๆในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มันแน่นอนว่าทิศทางตรงข้ามนั้นจะเกิดขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนั้นจะต้องเพิ่มขึ้นเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เชื่อได้ว่านักเก็งกำไรนั้นพยายามที่จะคาดเดาให้ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรและเปลี่ยนไปมากเท่าไร
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไปพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินทีละน้อย ความอ่อนไหวของสภาพตลาดยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีเพียงแค่จากรายงานฉบับเดียว มันเป็นสาเหตุให้อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่รุนแรงมากขึ้น หรือแม้แต่ตรงข้ามกับทิศทางที่คาดไว้
ความแตกต่างอัตราดอกเบี้ย
เทรดเดอร์ Forex หลายคนใช้เทคนิคการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยสกุลหนึ่งไปยังอีกอัตราดอกเบี้ยสกุลหนึ่งเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการตัดสินใจว่าสกุลเงินนั้นจะมีความอ่อนแอหรือแข็งแรง
ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 เราไม่รู้ว่าสเปรดนี้ถูกต้องหรือไม่แต่การแยกสเปรดของสกุลเงินช่วยได้
ความแตกต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยในการเสริมสร้างสกุลเงินที่ทำให้ผลตอบแทนสูงกว่า ในขณะที่ส่วนต่างที่แคบลงนั้นเป็นผลในทางบวกสำหรับสกุลเงินให้ผลตอบแทนต่ำกว่า
การที่อัตราดอกเบี้ยของทั้ง 2 สกุลเงินนั้นเคลื่อนที่ไปในทางตรงกันข้ามกันมักจะสร้างการเหวี่ยงของราคาตลาดอย่างมาก
อัตราดอกเบี้ยเพิ่มในสกุลเงินหนึ่งที่รวมกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดในอีกสกุลเงินหนึ่งนั้นเป็นสมการที่สมบูรณ์แบบมากสำหรับการเหวี่ยงที่ชัดเจน
อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ (Nominal Interest Rate)กับ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate)
เมื่อผู้คนพูดถึงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย พวกเขาอาจหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่ระบุหรืออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง มันต่างกันอย่างไร
อัตราดอกเบี้ยที่ระบุไม่ได้บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อัตราดอกเบี้ยที่ระบุเป็นอัตราดอกเบี้ยก่อนที่จะมีการปรับเข้ากับอัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = อัตราดอกเบี้ยที่ระบุ – เงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้
อัตราที่ระบุไว้มักจะเขียนไว้หรือเป็นอัตราที่คุณจะเห็นชัดเจน (เช่น อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล)
ในทางตรงกันข้าม ตลาดซื้อขายไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับอัตรานี้ แต่จะดูไปที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมากกว่า
ถ้าคุณมีพันธบัตรรัฐบาลที่มีอัตราผลตอบแทนระบุไว้ 6% แต่เงินเฟ้อเป็นอัตรา 5% ต่อปี ผลตอบแทนที่แท้จริงของธันบัตรจะเป็น 1%
นั่นคือความแตกต่างที่ที่เห็นได้ชัด ดังนั้น อย่าลืมแยกความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้เสมอ
นโยบายการเงินส่งผลกระทบต่อตลาด Forex อย่างไร
ธนาคารกลางและนโยบายทางการเงินจะดำเนินงานควบคู่กัน ดังนั้นคุณไม่สามารถพูดถึงเรื่องเดียวโดยไม่พูดถึงอีกเรื่องได้
ในขณะที่นโยบายและเป้าหมายบางส่วนนั้นจะมีความคล้ายกันระหว่างแต่ธนาคารกลาง
ซึ่งแต่ละที่จะมีเป้าหมายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และนำมาซึ่งเศรษฐกิจที่โดดเด่น นโยบายการเงินจะได้รับการส่งเสริม มีการรักษาเสถียรภาพราคาและความเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายนี้ ธนาคารกลางจะใช้นโยบายการเงินในการควบคุมเรื่องต่อไปนี้:- อัตราดอกเบี้ย, ค่าใช้จ่ายเงินฝาก
– เงินเฟ้อ
– ปริมาณเงิน
– ข้อกำหนดเงินสำรองที่ทางธนาคารต้องการ
– การปล่อยกู้ของธนาคารเชิงพาณิชย์
ประเภทนโยบายการเงิน
นโยบายการเงินนั้นสามารถเรียกได้หลายทาง นโยบายการเงินแบบหดตัว (Contractionary) หรือแบบถูกจำกัด (Restrictive) มักจะเกิดขึ้นหากปริมาณเงินลดลง และมันยังสามารถเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
แนวคิดนี้ คือ การทำให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นช้าลงด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง การยืมเงินจะกลายเป็นสิ่งที่ยากขึ้นและมีราคาแพงขึ้น ซึ่งจะลดการใช้จ่ายและการลงทุนของทั้งลูกค้าและธุรกิจ
ในทางกลับกัน นโยบายการเงินแบบขยาย (Expansionary) จะขยายหรือเพิ่มปริมาณเงินหรือลดอัตราดอกเบี้ยลง
ต้นทุนการกู้ยืมเงินนั้นจะลดลงด้วยความหวังที่จะมีการใช้จ่ายและการลงทุนที่มากขึ้น
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Accomodative) มุ่งหวังที่จะสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการลดอัตราดอกเบี้ยลง
แต่ว่านโยบายการเงินแบบเข้มงวดถูกตั้งเพื่อลดเงินเฟ้อหรือยับยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ท้ายที่สุด นโยบายการเงินแบบกลางตั้งใจที่จะไม่สร้างการเติบโตหรือสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
สิ่งที่สำคัญที่ต้องจำไว้เกี่ยวกับเงินเฟ้อคือธนาคารกลางมักจะมีเป้าหมายเงินเฟ้อในใจอยู่แล้ว คือ2%
พวกเขารู้ว่าภาวะเงินเฟ้อบางครั้งก็เป็นเรื่องดี แต่เงินเฟ้อที่ไม่สามารถควบคุมได้อาจทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของพวกเขา อาชีพการงานและสุดท้ายคือเงินของพวกเขา
การมีเป้าหมายระดับภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางจะช่วยให้ผู้เล่นในตลาดเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นว่าพวกเขา (ธนาคารกลาง) จะรับมือกับพื้นที่ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างไร
วงจรนโยบายการเงิน
สำหรับคนที่ติดตามสกุลเงิน USD และเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา จำไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อ Fed เพิ่มอัตราดอกเบี้ย 10% โดยไม่บอกไม่กล่าวได้ไหม?
มันเป็นสิ่งที่บ้าที่สุดที่มาจาก Fed และสภาวะการเงินของโลกก็อยู่ในความโกลาหล!
ราคาน้ำมันปิโตรเลียมทะลุเพดาน และนมมีราคาเหมือนทอง
นโยบายการเงินไม่เคยเปลี่ยนแปลงอย่างมากเท่านั้นมาก่อน การเปลี่ยนแปลงนโยบายส่วนมากเปลี่ยนทีละเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กน้อยนั้นเป็นเพราะผู้มีอำนาจในธนาคารกลางนั้นจะสร้างความวุ่นวายด้วยมือของพวกเขาเองหากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไป
ความคิดเช่นนั้นไม่เพียงแค่จะสร้างความวุ่นวายให้กับเทรดเดอร์เพียงแค่คนเดียว แต่เป็นเศรษฐกิจทั้งหมด
มันเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเพียงทีละ 0.25~1% และอีกครั้งจำไว้ว่าธนาคารกลางต้องการให้ราคามีความมั่งคง
ส่วนหนึ่งของความมั่นคงมาพร้อมกับจำนวนเวลาที่ต้องใช้ในการทำการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเหล่านี้ มันอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี
เหมือนกับเทรดเดอร์ Forex ที่รวบรวมและศึกษาข้อมูลเพื่อพัฒนาไปอีกก้าว นายธนาคารกลางก็ทำงานคล้ายกัน แต่พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจภาพรวม ไม่ใช่แค่การค้าเพียงครั้งเดียว
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากอาจเหมือนการเหยียบเบรก ในขณะที่การตัดอัตราดอกเบี้ยลงอาจเป็นเหมือนการเหยียบคันเร่ง แต่คิดไว้เสมอว่าลูกค้าและธุรกิจนั้นมีปฏิกิริยาที่ช้ากว่าเล็กน้อยต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ความล่าช้าระหว่างการเปลี่ยนนโยบายการเงินและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงทางเศรษฐกิจนี้อาจใช้เวลา 1~2ปี
ธนาคารกลางแบบ Hawkish และ Dovish
เราได้รู้แล้วว่า อัตราดอกเบี้ยจะได้รับผลกระทบจากมุมมองของธนาคารกลางในทางเศรษฐกิจและความมั่งคงของราคาซึ่งมีผลต่อนโยบายการเงิน
โดยมีธนาคารกลางดำเนินงานเหมือนกับธุรกิจอื่นๆทั่วไป หน้าที่ของพวกเขา คือ เป็นเสียงของธนาคารกลางที่สื่อไปถึงตลาด
มันสำคัญมากที่จะรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่ประธานธนาคารกลางไม่ใช่ผู้ตัดสินใจในนโยบายการเงินของประเทศหรือทางเศรษฐกิจเพียงผู้เดียวอีกทั้งไม่ใช่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางทุกที่จะมีอำนาจเท่ากัน
การกล่าวประกาศของธนาคารกลางมีวิธีกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองตลาด ดังนั้นควรระวังการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วหลังการประกาศเหล่านั้นการกล่าวประกาศอาจรวมทุกอย่างตั้งแต่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย การปรับลดหรือคงเดิม, การพูดคุยเรื่องการวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจและทัศนียภาพ การประกาศนโยบายการเงินเพื่อสรุปการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและอนาคต
ทันทีที่การประกาศถูกกล่าว สำนักข่าวทั่วโลกให้ข้อมูลแก่สาธารณะ
แต่อย่าสิ้นหวังไปหากคุณไม่สามารถปรับให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันได้ ทันทีที่สุนทรพจน์หรือการประกาศถูกกล่าว สำนักข่าวทั่วโลกให้ข้อมูลแก่สาธารณะ
นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์ Forex รับข่าวเหมือนกันและพยายามที่จะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยหรือข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง
เช่นเดียวกับที่ตลาดตอบสนองต่อการเปิดตัวรายงานเศรษฐกิจหรือตัวบ่งชี้อื่นๆ เทรดเดอร์ Forex มีปฏิกิริยาอย่างมากต่อกิจกรรมของธนาคารกลางและการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเมื่อพวกเขาไม่ได้ไปตามการคาดการณ์ของตลาดในปัจจุบัน
มันง่ายขึ้นที่จะล่วงรู้ว่าทำไมนโยบายการเงินพัฒนาไปอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลาง
อีกทั้งยังเป็นไปได้เสมอที่ธนาคารกลางจะเปลี่ยนทัศนะในดีขึ้นหรือลดขนาดลงกว่าที่คาดไว้ ในช่วงเวลาเหล่านี้ ที่ซึ่งตลาดมีความผันผวนอย่างมากและควรที่จะใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการถือตำแหน่งและการวางตำแหน่งใหม่
ธนาคารกลางแบบ Hawkish และ Dovish
ธนาคารกลางสามารถถูกมองได้ว่าเป็นแนวคิดแบบ Hawkish หรือ Dovish ขึ้นอยู่กับว่าวิธีการที่พวกเขาเข้าหาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างไร
ธนาคารกลางที่เป็นแนวคิดแบบ Hawkish จะสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขภาวะเงินเฟ้อหรือแม้แต่ความเสียหายจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ตัวอย่างเช่น ธนาคารแห่งอังกฤษ(ฺBank of England) ชี้ให้เห็นถึงมีภัยคุกคามของภาวะเงินเฟ้อที่สูง ธนาคารแห่งอังกฤษ(Bank of England) ถ้าพวกเขาทำรายงานที่เอนเอียงไปสู่การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อที่สูง ถือว่าเป็นแบบ Hawkish
ในทางกลับกัน นายธนาคารกลางแบบ Dovish นั้นมักจะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานมากกว่าอัตราดอกเบี้ยที่รัดกุม อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีที่ไม่รุนแรงหรือมุมมองเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือการกระทำทางเศรษฐกิจ
คุณอาจจะพบธนาคารที่อยู่ทั้งสองฝั่ง คือ Hawkish และ Dovish มากมาย อย่างไรก็ตาม ความจริงจะเปิดเผยเมื่อมีสภาพตลาดที่รุนแรงมากเกิดขึ้น
ปัจจัยพื้นฐานที่กระทบต่อมูลค่าสกุลเงิน
การเติบโตและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ
เราเริ่มง่ายๆจากเศรษฐกิจและแนวโน้มที่เกิดขึ้นโดยลูกค้า ภาคธุรกิจและรัฐบาล มันง่ายที่จะเข้าใจว่าเมื่อลูกค้ารับรู้ว่าเศรษฐกิจมีความแข็งแรง ผู้บริโภคจะมีความสุขและรู้สึกปลอดภัยและพวกเขาจะใช้เงิน บริษัทจะเต็มใจที่จะรับเงินนี้และคิดว่าเราจะทำอะไรกับเงินเหล่านี้
ในทางกลับกัน เศรษฐกิจที่มีอ่อนแอมักจะมาพร้อมกับลูกค้าที่ไม่ใช้จ่ายกัน ธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างเงินได้หรือไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้น รัฐบาลเป็นเพียงที่เดียวที่ยังคงใช้จ่าย แต่คุณคงจะเริ่มเข้าใจแนวคิดนี้แล้ว แนวโน้มทางเศรษฐกิจทั้งทางบวกและทางลบอาจส่งผลกระทบทางตรงในตลาดสกุลเงินได้
การไหลเวียนของเงินทุน
โลกาภิวัฒน์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต ทั้งหมดนี้มีส่วนร่วมในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการลงทุนในแทบทุกที่บนโลกก ไม่ว่าคุณเรียกที่ไหนว่าบ้านก็ตาม
การไหลเวียนของเงินทุนนั้นสามารถวัดจำนวนเงินที่ไหลเข้าและออกจากประเทศหรือเศรษฐกิจได้ เนื่องจากมันเป็นการลงทุนในการซื้อและขาย สิ่งสำคัญที่คุณต้องติดตามคือความสมดุลเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งสามารถเป็นได้ในทางบวกหรือลบ
เมื่อประเทศมีดุลเงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก การลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาในประเทศมากกว่าการลงทุนออกนอกประเทศ
ดุลเงินทุนหมุนเวียนทางลบนั้นตรงกันข้าม การลงทุนจะออกนอกประเทศไปยังประเทศปลายทางจะมากกว่าการเข้ามาลงทุนในประเทศ ยิ่งมีการเข้ามาลงทุนในประเทศมากเท่าไร ความต้องการสำหรับสกุลเงินของประเทศนั้นจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติต้องการขายสกุลเงินเพื่อซื้อสกุลเงินท้องถิ่น ความต้องการนี้ทำให้สกุลเงินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย
เมื่อการลงทุนต่างชาติถอยกลับและนักลงทุนในประเทศก็จะต้องการเปลี่ยนและออกจากการเทรดนั้น จากนั้นคุณจะมีสกุลเงินท้องถิ่นมากมาย เนื่องจากทุกคนทำการซื้อขายสกุลเงินของประเทศหรือของเศรษฐกิจที่พวกเขาลงทุน เงินทุนต่างชาติไม่ต้องการอะไรนอกจากให้ประเทศมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงและมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และถ้าหากประเทศใดที่ยังมีตลาดการเงินในประเทศที่สามารถเติบโตได้อยู่นั้นก็ยิ่งดีและเมื่อสกุลเงินท้องถิ่นมีความต้องการที่มากขึ้น มูลค่าของสกุลเงินนั้นก็จะขึ้นสูงไปด้วย
กระแสการค้าและดุลการค้า
เราอยู่ในตลาดระดับโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศต่างๆขายสินค้าของเขาไปยังประเทศต่างๆที่พวกเขาส่งออก ในขณะเดียวกันก็ซื้อ(นำเข้า)สินค้าที่ต้องการจากประเทศอื่นๆ
ทุกๆครั้งที่คุณซื้อของ คุณต้องจ่ายเงินที่คุณหาได้ออกไป ใครก็ตามที่คุณซื้อของจากเขาก็ต้องทำเหมือนกัน
ผู้นำเข้าประเทศสหรัฐแลกเงินกับผู้ส่งออกประเทศจีนเมื่อพวกเขาซื้อสินค้า และผู้นำเข้าประเทศจีนแลกเงินกับผู้ส่งออกชาวยุโรปเมื่อพวกเขาซื้อสินค้า ทุกการซื้อขายทั่วโลกมาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนเงิน ที่ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นกระแสการไหลของสกุลเงินของประเทศ
ดุลการค้า สามารถวัดอัตราการส่งออกนำเข้าสำหรับเศรษฐกิจได้ มันแสดงให้เห็นถึงความต้องการของสินค้าและบริการของประเทศนั้นๆ และสกุลเงินของประเทศนั้นๆเช่นเดียวกัน ถ้าการส่งออกมากกว่าการนำเข้า จะเกิดสภาพการเกินดุลการค้าและดุลการค้าจะเป็นบวก ตรงกันข้ามถ้าการนำเข้ามากกว่าการส่งออก จะเกิดสภาพการขาดดุลการค้าและดุลการค้าจะเป็นลบ
การส่งออก > การนำเข้า= เกินดุลการค้า = ดุลการค้าเป็นบวก
การนำเข้า > การส่งออก = ขาดดุลการค้า = ดุลการค้าเป็นลบ
การขาดดุลการค้ามีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาสกุลเงินลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ผู้นำเข้าสุทธิต้องขายสกุลเงินเพื่อที่จะซื้อสกุลเงินของผู้ค้าต่างชาติที่ขายสินค้าที่เขาต้องการ เมื่อมีการขาดดุลการค้า สกุลเงินท้องถิ่นจะถูกขายเพื่อซื้อสินค้าต่างชาติ ดังนั้น สกุลเงินของประเทศที่ขาดดุลการค้าจึงมีความต้องการต่ำเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศที่มีการค้าเป็นบวก
ผู้ส่งออกสุทธิ สำหรับประเทศที่มีการส่งออกมากกว่าการนำเข้า จะเห็นว่าสกุลเงินของพวกเขาถูกซื้อมากกว่าโดยประเทศที่สนใจในการซื้อสินค้าส่งออก มันมีความต้องการมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สกุลเงินมีมูลค่าที่สูงขึ้น ทั้งหมดเกิดจากความต้องการในสกุลเงิน สกุลเงินที่มีความต้องการสูงมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่ามากกว่าสกุลเงินที่มีความต้องการต่ำ
ที่มาของข่าวสาร Forex และข้อมูลข่าวสารของตลาด
ราคาสกุลเงินจะผันผวน จากรายงานทางเศรษฐกิจ, ประกาศของธนาคารกลางหรือข้อมูล เช่น ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้นข่าวที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงคู่สกุลเงินเป้าหมายของคุณคือการประสบความสำเร็จในการเทรด และมันจะเกิดขึ้นได้ง่ายมากเมื่อคุณรู้ว่าทำไมราคาจึงเคลื่อนที่ไปในทางนั้นๆ เทรดเดอร์ Forex ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดมาแล้วประสบความสำเร็จเลย พวกเขาถูกสอน และพยายามเรียนรู้มันเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สามารถทำได้ คือ การมองผ่านสิ่งที่ไม่ชัดเจน นั่นคือ ข่าวสารและข้อมูลของ Forex เลือกในสิ่งที่มีความสำคัญกับเทรดเดอร์ในขณะนั้นและตัดสินใจซื้อขายได้อย่างถูกต้อง
จะหาข่าวสาร Forex และข้อมูลของตลาดจากที่ไหน
ข่าวสารและข้อมูลของตลาดมีอยู่ตามแหล่งข่าวมากมายด้วยอินเตอร์เน็ต คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลมากมายทุกที่ทุกเวลา ไม่เพียงเท่านั้นอย่าลืมหนังสือสื่อสิ่งพิมพ์และทีวี นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์บริการและรายการทีวีมากมายที่แนะนำเกี่ยวกับสกุลเงินโดยเฉพาะ ดังนั้นเทรดเดอร์จึงใช้ข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นั้นไม่มีค่าใช้จ่าย เราลองไปดูที่แหล่งข่าวที่เราชอบเพื่อช่วยคุณเริ่มการหาข้อมูลกัน
แหล่งข่าวสารทางการเงินแบบดั้งเดิม
มีแหล่งข่าวทางการเงินหลายแหล่ง ก่อนอื่นเรามาใช้ข่าวสารในแหล่งที่มีชื่อเสียงก่อน
ซึ่งจะให้ข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมงด้วยการอัปเดตทุกวันในข่าวใหญ่ที่คุณจำเป็นต้องรู้ เช่น การประกาศของธนาคารกลาง การเผยแพร่รายงานทางเศรษฐกิจ และการวิเคราะห์ เป็นต้น
– สำนักข่าวรอยเตอร์ (Routers)
– Wall Street Journal
– Bloomberg
– MarketWatch.com
ข่าวสารแบบเรียลไทม์
ถ้าคุณต้องการเข้าถึงการเคลื่อนที่ในตลาดสกุลเงินได้ทันที เครือข่ายทีวีเกี่ยวกับการเงินมีเปิดให้ข่าวสารตลอด24ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้คุณทันกับทุกข่าวสารของตลาดการเงินโลก
ในสหรัฐ ช่องที่ได้รับความนิยมสูงคือ ช่อง Bloomberg, Fox Business, CNBC, MSNBC และ CNN และคุณอาจเพิ่ม BBC เข้าไปด้วยก็ได้
อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับข้อมูลแบบทันเวลานั้นมาจากแพลทฟอร์มเทรด Forex ของคุณ โบรกเกอร์ Forex หลายที่ได้รวมข่าวสารแบบถ่ายทอดสดไว้ในซอร์ฟแวร์ของพวกเขา เพื่อให้คุณเข้าถึงได้ง่ายและทันท่วงทีต่อเหตุการณ์และข่าวสารตลาดปัจจุบัน
ปฏิทินทางเศรษฐกิจ
เมื่อดูปฏิทินทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่า Fed จะประกาศอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด, อัตราที่เท่าไรที่คาดการณ์ไว้, อัตราใดที่เกิดขึ้นจริงและผลกระทบแบบใดที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ในตลาดปัจจุบัน ทั้งหมดนี้สามารถเป็นไปได้ในปฏิทินทางเศรษฐกิจ
ปฎิทินที่ดีจะแสดงให้คุณเห็นเดือนและปีที่ต่างกัน ให้คุณเลือกสกุลเงินและให้คุณเข้าถึงโซนเวลาท้องถิ่นของคุณและใช้งานง่าย
มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและรายงานข้อมูลเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คนส่วนใหญ่ทำการติดตามทั้งหมดได้ ข้อมูลนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงตลาดในระยะสั้นและเร่งการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินที่คุณอาจจับตามองอยู่
โชคดีที่ข่าวสารทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเทรดเดอร์ Forex นั้นถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนหลายเดือน
ความลับของข้อมูลทางตลาด
เวลาของรายงานที่คุณอ่านนั้นมีความสำคัญมาก หลายสิ่งได้เกิดขึ้นแล้วและตลาดมีการปรับราคาไปแล้วหลังจากที่พิจารณาข้อมูลเหล่านั้น
ถ้าตลาดได้เปลี่ยนไปแล้ว คุณอาจต้องปรับความคิดและกลยุทธ์ปัจจุบันของคุณ ติดตามดูข่าวนั้นว่าออกมานานเท่าไรแล้ว หรือไม่คุณก็จะเจอว่าคุณอ่านข่าวของเมื่อวาน
คุณยังต้องสามารถตรวจสอบว่าข่าว Forex ที่คุณรับมืออยู่นั้นเป็นความจริงหรือเรื่องแต่ง ข่าวลือหรือความคิดเห็น
ข่าวลือเกี่ยวกับข้อมูลทางเศรษฐกิจนั้นมีอยู่จริง และพวกมันสามารถเกิดขึ้นได้เป็นนาทีจนถึงหลายชั่วโมงก่อนที่ข้อมูลจริงที่กำหนดไว้จะถูกปล่อยออกมา ข่าวลือเหล่านี้จะทำให้เกิดพฤติกรรมระยะสั้นของเทรดเดอร์ และในบางครั้ง ผลกระทบนั้นอาจยังคงอยู่และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด
สิ่งที่คุณต้องทำในฐานะเทรดเดอร์ Forex คือ การวางแผนการค้าที่ดีและมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วต่อข่าวสารที่เป็นข่าวลือหลักจากที่พวกเขาพิสูจน์ได้แล้วว่าจริงหรือปลอม การมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่รอบคอบในกรณีนี้จะช่วยคุณไว้ได้อย่างมากเลย
รู้ว่าใครคือคนรายงานข่าว
เป็นนักวิเคราะห์หรือนักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์หรือเจ้าของบทความ Forex ใหม่ล่าสุดของบล็อก หรืออาจเป็นนักวิเคราะห์แห่งธนาคารกลางหรือไม่?
ยิ่งคุณอ่านหรือดูข่าวหรือสื่อ Forex มากเท่าไร คุณจะสามารถเข้าถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องด้านการเงินและ Forexได้
ว่าพวกเขาเสนอเพียงความคิดเห็น หรือบอกข้อเท็จจริงตามข้อมูลที่รายงานล่าสุดหรือไม่?
ยิ่งคุณรู้ว่าข่าวมาจากใครคุณจะยิ่งสามารถรู้ได้ถึงความแม่นยำของข่าวนั้นๆ ผู้รายงานเหล่านั้นมักจะมีความชัดเจนของตัวเองและมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่เห็นได้ชัด
ข่าวสารการคาดการณ์ตลาดและผลกระทบต่อสกุลเงิน
การคาดการณ์ของตลาดโดยรวม
การคาดการณ์ของตลาดโดยรวม เป็นข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการคาดการณ์เศรษฐกิจหรือข่าวที่จะเกิดขึ้น การคาดการณ์เศรษฐกิจนั้นจัดทำขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายท่านจากธนาคาร เช่น สถาบันทางการเงินหรือองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์
จะเห็นได้ว่าการคาดการณ์ทั้งหมดจะถูกนำมารวมกันและเฉลี่ยออกไป และค่าเฉลี่ยเหล่านี้ที่ปรากฏขึ้นบนกราฟหรือปฎิทินที่ออกแบบขึ้นเพื่อกำหนดระดับความคาดหวังสำหรับรายงานหรือเหตุการณ์นั้นๆ
ข้อมูลขาเข้าหรือข้อมูลที่แท้จริงนั้นจะถูกเปรียบเทียบกับเลขพื้นฐานเหล่านี้ ข้อมูลขาเข้านั้นมักจะถูกระบุไว้ดังต่อไปนี้
– “ตามที่คาดหวัง” – ข้อมูลที่รายงานนั้นใกล้เคียง หรือเท่ากับที่ได้คาดการณ์เอาไว้
– “ดีกว่าที่คาดหวัง” – ข้อมูลที่รายงานนั้นดีกว่าที่ได้คาดการณ์เอาไว้
– “แย่กว่าที่คาดหวัง” – ข้อมูลที่รายงานนั้นแย่กว่าที่ได้คาดการณ์เอาไว้
ไม่ว่าเป็นข้อมูลที่เข้ามาจะเข้ากับความเป็นเอกฉันท์หรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือการประเมินผลสำหรับการระบุการเคลื่อนไหวของราคาและสิ่งที่สำคัญพอๆกันก็คือการกำหนดว่าข้อมูลนั้นดีกว่าหรือแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ ขนาดระดับความแม่นยำที่น้อยลงนั้นจะเพิ่มโอกาสที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อรายงานถูกปล่อยออกมา
เทรดเดอร์ Forex หลายคนได้รวมการคาดหวังสำหรับความเป็นเอกฉันท์เข้ากับการเทรดของพวกเขา และรวมเข้ากับสภาพตลาดก่อนที่รายงานจะถูกปล่อยออกมา
อย่างที่ชื่อมันบอกเอาไว้ “การรวม (Price in)” หมายถึง การที่เทรดเดอร์นั้นมีมุมมองเกี่ยวกับเหตุการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นและทำการวางเดิมพันลงกับมันไว้ก่อนที่ข่าวจะถูกปล่อยออกมา
ยิ่งรายงานนั้นมีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคามากเท่าไร เทรดเดอร์จะยิ่งทำการเดิมพันกับความคาดหวังไว้เร็วขึ้นเท่านั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นกับตลาดในปัจจุบัน?
คุณไม่สามารถบอกมันได้ทุกครั้งหรอก ดังนั้นคุณต้องพยายามทำความเข้าใจด้วยตัวเองเพื่อให้ท่วงทันสิ่งที่ตลาดต้องการและพฤติกรรมของราคานั้นเป็นเช่นไรก่อนที่รายงานจะถูกปล่อยออกมาและมันจะบอกให้คุณทราบได้ว่าตลาดนั้นตั้งราคารวม(Price in)ไปเท่าไร มีหลายสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนที่รายงานจะถูกปล่อยออกมา ดังนั้นจงจับตาดูไว้
ความเชื่อมันตลาดอาจพัฒนาขึ้นหรือแย่ลงก่อนมีการปล่อยรายงานต่างๆออกมา ดังนั้นคุณควรระวังว่าราคานั้นอาจมีปฎิกิริยาไปในทางเดียวกัน หรือตรงกันข้ามกับแนวโน้มของราคา
มันเป็นไปได้เสมอที่ข้อมูลที่รายงานออกมานั้นจะตรงกันข้ามกับความคาดหวังอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นอย่าไปเดิมพันตามความคาดหวังของผู้อื่น และเมื่อความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้น คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นคุณต้องช่วยตัวเองออกมาจากเหตุการณ์เช่นนั้น โดยการคาดการณ์ (และผลลัพธ์อื่นๆที่สามารถเกิดขึ้นได้) ให้เกิดขึ้น
คิดอยู่เสมอว่า “ถ้าหาเกิดขึ้น จะทำอย่างไร?”
ถ้าหากรายงานนั้นออกมาอยู่ต่ำกว่าความคาดหวังประมาณครึ่งเปอร์เซ็น? การเคลื่อนไหวของราคานั้นจะลงไปกี่ Pip? แล้วอะไรที่จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นเพื่อที่จะให้ Pip ตกลงไป 40 Pip? มีอะไรอีกไหม?
ลองจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่ต่างกัน และเตรียมพร้อมสำหรับการตอบสนองต่อปฏิกิริยาของตลาด คุณต้องเป็นฝ่ายรุกเช่นนี้จะทำให้คุณอยู่นำหน้าเกมส์
แก้ไขข้อมูลแล้ว!?
ข้อมูลทางเศรษฐกิจอาจมีการเขียนหรือแก้ไขขึ้นมาใหม่ได้
มาดูตัวอย่างข้อมูลตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll employment numbers: NFP) รายเดือน อย่างที่ได้กล่าวไป รายงานนี้ปล่อยออกมาทุกเดือน มันมักจะรวมข้อมูลที่แก้ไขใหม่ของตัวเลขเดือนก่อนหน้า
เราจะสมมติว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในช่วงตกต่ำและตัวเลข NFP ของเดือนมกราคมลดลงมา 50,000 ซึ่งเป็นจำนวนการจ้างงานที่หายไป และตอนนี้คือ เดือนกุมภาพันธ์ NFP คาดไว้ว่าจะลดลงไปอีก 35,000
แต่ NFP จริงๆแล้วลดลงเพียงแค่ 12,000 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเลย อีกทั้ง ข้อมูลที่แก้ไขแล้วของเดือนมกราคม ซึ่งได้แสดงอยู่ในรายงานเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับแก้ไขใหม่โดยแสดงการลดลงเพียง 20,000
ในฐานะเทรดเดอร์ คุณต้องระวังสถานการณ์เช่นนี้เมื่อข้อมูลมีการแก้ไข การไม่ทราบว่ามีการแก้ไขข้อมูลของเดือนมกราคม คุณอาจมีปฏิกิริยาทางลบต่อจำนวนงานที่หายไปที่เพิ่มขึ้นมา 12,000งานในเดือนกุมภาพันธ์ มันยังเป็นเพียง 2 เดือนของการลดการจ้างงาน ซึ่งไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม การคำนึงถึงตัวเลข NFP ที่แก้ไขในเดือนมกราคมและการอ่านค่า NFP ที่ดีขึ้นกว่าที่คาดหวังในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ตลาดอาจเห็นว่าเป็นการเริ่มต้นจุดเปลี่ยนแปลง ช่วงการจ้างงานในตอนนี้นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดหากคุณดูไปที่ข้อมูลขาเข้าและข้อมูลที่แก้ไขแล้วของเดือนก่อน
คุณต้องมั่นใจว่าไม่เพียงแต่ตรวจสอบว่าข้อมูลที่แก้ไขแล้วยังมีอยู่หรือไม่ แต่ยังควรที่จะบันทึกขอบเขตการแก้ไขและปริมาณที่แก้ไขเหล่านั้นด้วย การแก้ไขที่มากขึ้นนั้นจะมีน้ำหนักมากเมื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบันที่ปล่อยออกมา
การแก้ไขอาจช่วยให้ยืนยันการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มที่เป็นไปได้หรืออาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้นระวังข้อมูลที่ปล่อยออกมา