เนื้อหาในบทความนี้
การเทรด Breakout และ False Breakout
การเทรดโดย Breakout
การ Breakout จะเกิดขึ้นได้เมื่อราคานั้น “แยกตัวออก” จากการกระจุกตัวของราคา(Range) หรือช่วงการเทรด การ Breakout ยังสามารถเกิดขึ้นเมื่อระดับราคาที่เฉพาะแยกออกมา อย่างเช่น ระดับแนวรับและแนวต้าน จุด Pivot Point และระดับ Fibonacci เป็นต้น
และด้วยการเทรดโดยการ Breakout เป้าหมายคือการเข้าไปสู่ตลาดเมื่อราคาเกิดการ Breakout และสามารถเทรดต่อไปได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งความผันผวนนั้นอ่อนตัวจนหมดลง
ความผันผวนสำคัญกว่าปริมาณการซื้อขาย
คุณจะสังเกตได้ว่ามันต่างจากการซื้อขายหุ้นหรือฟิวเจอร์ส มันไม่มีทางที่คุณจะได้เห็นจำนวนการซื้อขายเกิดขึ้นในตลาด Forex ได้
ในการเทรดหุ้นหรือฟิวเจอร์ส จำนวนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการเกิด Breakout ที่ดี ดังนั้นการที่เราได้มีข้อมูลนี้ใน Forex นั้นจะทำให้เราเสียเปรียบ
และเพราะความเสียเปรียบนี้ เราจึงต้องพึ่งทั้งการจัดการความเสี่ยงที่ดีและเกณฑ์ทางเลือกเพื่อที่จะวางตำแหน่งตัวของเราไว้ในตำแหน่งที่มีจุด Breakout ที่ดี
หากการเคลื่อนไหวของราคานั้นมีขนาดใหญ่ในระยะเวลาที่สั้น นั่นแปลว่าความผกผันของราคานั้นจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
ในทางกลับกัน หากมันมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ความผกผันของราคานั้นจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
ในขณะที่เราตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดหรือไม่เมื่อมันมีการเคลื่อนไหวเร็วมาก คุณมักจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นมีความเครียดและประหม่ามากกว่าเดิม และมักจะตัดสินใจพลาดโดยที่เอาเงินไปลงทุนได้
ความผันผวนที่สูงนี้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดเทรดเดอร์ forex หลายๆคน แต่มันก็สร้างความเสียหายให้เทรดเดอร์หลายคนเช่นเดียวกัน
และต่อไปนี้เราจะอธิบายเกี่ยวกับวิธีการใช้ประโยชน์จากความผันผวน
แทนที่จะตามคนอื่นและพยายามที่จะกระโดดเข้าตลาดในขณะที่สภาพตลาดมีความผกผันอย่างมาก มันน่าจะดีกว่ามากหากคุณจะมองหาคู่สกุลเงินที่ความผกผันที่ค่อนข้างต่ำ
วิธีการวัดความผกผัน
ระดับความผกผันจะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และข้อมูลเหล่านี้จะสามารถช่วยในการจับ Breakout ที่อาจเกิดขึ้นได้
ตัวบ่งชี้บางตัวนั้นสามารถช่วยให้คุณหาความผกผันของคู่สกุลเงินของคุณได้ และการใช้ตัวบ่งชี้เหล่านี้จะสามารถช่วยคุณได้อย่างมากเมื่อคุณมองหาโอกาสในการเกิด Breakout
1. ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่- Moving Average
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่(Moving Average) นั้นน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดที่ใช้โดยเทรดเดอร์ Forex และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเครื่องมือที่ง่าย มันจะให้ข้อมูลที่ไม่เป็นตัวมูลค่า
อธิบายง่ายๆเลย ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ คือ การวัดค่าเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ของตลาดในช่วงเวลา X โดย X นั้นเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ที่คุณต้องการ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้ SMA 20 ช่วงในกราฟรายวัน มันจะแสดงให้เห็นถึงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อีกหลายประเภท แต่สำหรับวัตถุประสงค์ของบทเรียนนี้ เราจะไม่ลงลึกไปในรายละเอียดของพวกมัน
ลองกลับไปดูที่บทเรียนของเราเรื่อง ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่(Moving Average)
2. Bollinger Bands
Bollinger Bands คือเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับการวัดความผกผันของราคาเพราะว่ามันถูกสร้างมาเพื่อทำเช่นนั้น
Bollinger Bands นั้นมี 2 เส้นที่วาง 2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานไว้บนและล่างของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำหรับจำนวน x เวลา โดยที่ x ช่วงเวลาเท่าไรก็ได้ที่คุณต้องการ
ดังนั้น หากเราตั้งมันไว้ที่ 20 เราจะได้เส้น SMA 20 และเส้นอีก 2 เส้น โดยเส้นหนึ่งจะวาดที่จุด +2 SD เหนือเส้น SMA และอีกเส้นหนึ่งจะวาดที่จุด -2 SD ด้านล่าง
และเมื่อ Band นั้นหดตัวลง มันจะบอกให้คุณทราบว่าความผกผันนั้นต่ำ
เมื่อ Band นั้นขยายตัวออก มันจะบอกให้ทราบว่าความผกผันนั้นสูง
หากต้องการข้อมูลและคำอธิบายเพิ่มเติม ลองไปดูที่บทเรียนของเราเรื่อง Bollinger Bands
3. Average True Range (ATR)
ATR เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการวัดค่าความผกผัน เพราะมันจะสามารถบอกเราถึงค่าเฉลี่ยในช่วงราคาของตลาดในระยะเวลา X โดยที่ X สามารถเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ได้ตามที่ต้องการ
ดังนั้น หากคุณตั้ง ATR ไว้ที่ 20 บนกราฟรายวันของคุณ มันจะแสดงให้เห็นถึงค่าเฉลี่ยช่วงราคาในช่วง 20 วันที่ผ่านมา
เมื่อ ATR ตกลง มันจะชี้ให้เห็นว่าค่าความผันผวนนั้นลดลง ตรงกันข้ามเมื่อ ATR สูงขึ้น มันจะชี้ให้เห็นว่าค่าความผันผวนนั้นมากลง
ประเภทของการ Breakout
1. การ Breakout อย่างต่อเนื่อง (Continuation Breakout)
2. การ Breakout แบบย้อนกลับ (Reversal Breakout)การที่รู้ว่าคุณเห็น Breakout ประเภทไหนจะสามารถช่วยให้คุณสามารถเข้าใจได้ว่าตลาดภาพรวมตอนนี้เป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การ Breakout แบบต่อเนื่อง (Continuation Breakout)
ในบางครั้ง การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ไปในทิศทางหนึ่ง ตลาดนั้นมักจะมีการพักหยุด มันจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ซื้อและผู้ขายนั้นหยุดพักเพื่อที่จะรอดูว่าพวกเขาควรจะทำอะไรต่อไป และผลที่ตามมานั้นคือ คุณจะเห็นการเคลื่อนไหวแบบราคาวิ่งอยู่ในกรอบ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หากเทรดเดอร์ตัดสินใจว่า เทรนด์ในตอนเริ่มนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และจะพลักดันราคาให้ไปในทิศทางเดิม ผลที่ตามมานั้นคือ การ Breakout แบบต่อเนื่อง ลองคิดถึงมันว่าเป็น “ความต่อเนื่อง” ของเทรนด์ในตอนเริ่มต้นดูสิ
การ Breakout แบบผันกลับ (Reversal Breakout)
การ Breakout แบบผันกลับนั้น จะเริ่มต้นเหมือนกับการ Breakout อย่างต่อเนื่องในส่วนที่ว่าหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง แนวโน้มของการเคลื่อนไหวมักจะหยุดพักหรือมีการกระจุกตัว
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวนั้นคือ หลังจากการกระจุกตัวเกิดขึ้นแล้ว เทรดเดอร์ Forex จะมองว่าแนวโน้มเหล่านี้เริ่มที่จะอ่อนตัวลง และผลักดันราคาไปในทางตรงกันข้าม หรือ “ผันกลับ” และผลที่ตามมาคือ คุณจะได้สิ่งที่เราเรียกว่า “การ breakout แบบผันกลับ”
จุด Breakout ปลอม (False Breakout)
จากตรงนี้คงจะเข้าใจเกี่ยวกับการ Breakout 2 รูปแบบกันเเล้ว แต่สิ่งที่ต้องระวังสิ่งหนึ่งคือ การ Breakout ปลอม ต้องระวังอย่าให้ถูกหลอกได้
กรณีราคานั้นทะลุระดับที่กำหนดไว้ (ระดับแนวรับ, แนวต้าน, สามเหลี่ยมและเส้นเทรดไลน์ เป็นต้น) แต่ ไม่ช่วยให้ขยับไปในทิศทางนั้นๆ เป็นการ Breakout ปลอม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่การ Breakout แต่เป็นขัด ขวางในระยะสั้นๆที่เกิดขึ้นตามมาด้วยที่ราคาจะเคลื่อนกลับไปที่ช่วงกรอบการเทรด
วิธีที่ดีในการเข้าสู่การ Breakout นั้นคือ การรอจนกว่าราคาจะย้อนกลับลงมาที่ระดับ Breakout เดิม และจากนั้นรอดูว่ามันจะเด้งกลับไปแล้วทำให้เกิดจุด High หรือ Low จุดใหม่หรือไม่ (ขึ้นอยู่กับว่าคุณเทรดอยู่ในทิศทางไหน)
อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยหลีกเลี่ยง False Breakout คือ การไม่ไปยุ่งกับ Breakout แรกที่พบ ก่อนอื่นรอจนกว่าจะเห็นว่าราคานั้นเคลื่อนที่ไปยังทิศทางที่คุณหวังไว้ แล้วคุณจะได้โอกาสในการเทรดให้ได้กำไรมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือ คุณอาจพลาดโอกาสในการเทรดบางโอกาสที่ราคานั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยอย่างไม่ลังเล
การเทรด Breakout โดยใช้เส้นเทรนด์ไลน์ ช่องสัญญาณ และรูปแบบสามเหลี่ยม
เมื่อคุณเริ่มที่จะคุ้นเคยกับสัญญาณ Breakout แล้ว คุณจะสามารถมองหาการเทรดที่มีศักยภาพได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
รูปแบบกราฟ
และถึงตอนนี้ คุณควรจะคุ้นเคยกับกราฟที่เป็นสัญญาณ Breakoutแบบผันกลับด้านล่างนี้
– Double Top/Bottom
– Head and Shoulder
– Triple Top/Bottom
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เข้าไปดูที่บทเรียนเกี่ยวกับรูปแบบกราฟของเราได้
และนอกจากรูปแบบกราฟแล้ว มันยังคงมีเครื่องมือและตัวบ่งชี้อีกมากมายที่คุณสามารถใช้เป็นตัวช่วยสำหรับการ Breakout แบบผันกลับได้
เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline)
วิธีแรกที่จะมองหา Breakout ที่อาจจะเกิดขึ้นได้นั้น คือการวาดเส้นเทรนด์ไลน์ลงในกราฟ การวาดเส้นเทรนด์ไลน์นั้น คุณจะต้องมองที่กราฟและวาดเส้นที่ไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มในปัจจุบัน
การวาดเส้นเทรนด์ไลน์นั้นจะดีที่สุด หากคุณสามารถเชื่อมจุด Top หรือ Bottom อย่างน้อยที่สุด 2 จุดเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งมีการเชื่อมต่อระหว่างจุด Top หรือ Bottom มากเท่าไร เส้นเทรนด์ไลน์นั้นก็จะมีความแข็งแรงมากขึ้น
แล้วคุณจะใช้เส้นเทรนด์ไลน์นี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร? เมื่อราคานั้นเคลื่อนเข้าหาเส้นเทรนด์ไลน์ มีเพียง 2 กรณีที่จะเกิดขึ้น คือ ราคาอาจจะเด้งออกจากเส้นเทรนด์ไลน์ หรือดำเนินต่อไปตามแนวโน้มเดิมและราคาอาจ Breakout ออกจากเส้นเทรนด์ไลน์ และทำให้เกิดการกลับตัว
การที่ดูเพียงราคานั้นไม่เพียงพอ แต่ในจุดนี้ การใช้ตัวชี้วัดมากกว่า 1 ตัวเข้ามาช่วย อย่างที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้จะสามารถช่วยคุณได้อย่างมาก
สังเกตว่า EUR/USD แยกออกจากเส้นเทรนด์ไลน์ และ MACD ที่แสดงการเคลื่อนไหวแบบขาลง และจากการใช้ข้อมูลเหล่านี้ เราจะสามารถรู้ได้ว่า Breakout จะยังคงผลักดันราคา EUR ให้ตกลงอย่างต่อเนื่องและในฐานะเทรดเดอร์ เราควรที่จะทำการ Short คู่สกุลเงินนี้
ช่องสัญญาณ (Channels)
อีกวิธีในการมองหาโอกาส Breakout คือการสร้างช่องสัญญาณของเทรนด์ หรือ Trend Channels การวาด Trend Channels นั้นคล้ายกับการวาดเส้นเทรนด์ไลน์ เพียงแต่ว่าหลังจากที่คุณวาดเส้นเทรนด์ไลน์แล้ว คุณต้องเพิ่มอีกด้านหนึ่งในมันด้วย
Channels เหล่านี้นั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพราะคุณจะสามารถระบุ Breakout ได้ทั้งในสองทิศทางของเทรนด์ วิธีการนี้นันคล้ายกับวิธีที่เราใช้กับเทรนด์ไลน์ ที่เราจะต้องรอให้ราคาเคลื่อนไปถึง 1 ในเส้นของ Channels และดูที่ตัวชี้วัดเพื่อช่วยในการตัดสินใจของเรา
สังเกตว่า MACD จะแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวแบบขาลงที่แข็งแรง เมื่อ EUR/USD ที่ตกลงทะลุผ่านใต้เส้นต่ำสุดของ Trend Channel และนี่เป็นสัญญาณที่ดีในการทำการ Short
รูปแบบสามเหลี่ยม (Triangle)
วิธีที่ 3 ที่คุณสามารถจะระบุโอกาสของการ Breakout นั้นสามารถทำได้จากการมองหารูปแบบสามเหลี่ยม รูปสามเหลี่ยมนี้จะก่อตัวขึ้นเมื่อราคาตลาดนั้นเริ่มที่จะมีความผกผัน และเริ่มที่จะเกิดการกระจุกตัวและกรอบช่วงราคาจะแคบลง เป้าหมายของเราคือการวางตำแหน่งตัวเราไว้เมื่อตลาดเกิดการกระจุกตัว ซึ่งเราจะสามารถจับการเคลื่อนไหวเมื่อการ breakout นั้นเกิดขึ้นได้
ประเภทของรูปแบบสามเหลี่ยมนั้นมีอยู่ 3 ประเภทที่ควรจำ มีดังนี้:
1. สามเหลี่ยมมุมเงย ( Ascending Triangle)
2. สามเหลี่ยมมุมก้ม (Descending Triangle)
3. สามเหลี่ยมสมมาตร (Symmetrical Triangle)
สามเหลี่ยมมุมเงย ( Ascending Triangle)
สามเหลี่ยมมุมเงย(Ascending Triangle) ก่อตัวขึ้นเมื่อมีระดับแนวต้านและราคาตลาดนั้นยังคงปรับขึ้นไปที่จุด Higher Lows และนี่คือสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นนั้นจะเริ่มที่จะเริ่มมีการเคลื่อนไหวมากกว่าขาลงอย่างช้าๆ
และเบื้องหลังของรูปสามเหลี่ยมนี้คือ ในแต่ละครั้งที่ราคานั้นขึ้นไปถึงจุด High เทรดเดอร์หลายคนนั้นจะถูกชักจูงให้ทำการขายที่ระดับนั้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคานั้นตกลงกลับไปที่เดิม
ในอีกทางหนึ่ง เทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่าราคานั้นควรที่จะขึ้นไปได้สูงกว่านี้ และเมื่อราคานั่นเริ่มที่จะตกลง จึงต้องทำการซื้ในจุดที่สูงกว่าจุด Low ที่ผ่านมา และผลที่ได้นั้น คือ การแข่งขันระหว่างขาขึ้นและขาลง ที่ซึ่งจะรวมเข้ากัน
สิ่งที่เราต้องการจะมองหานั้นคือการ Breakout ไปในทางขาขึ้นเนื่องจากสามเหลี่ยมมุมเงย (Ascending Triangles) มักจะส่งสัญญาณขาขึ้น (Bullish) และเมื่อเราเห็นว่ามีการแยกตัวออกมาจากระดับแนวต้าน การตัดสินใจที่เหมาะสมนั้นคือควรที่จะเป็นการ Long
สามเหลี่ยมมุมก้ม (Descending Triangle)
สามเหลี่ยมมุมก้ม (Descending Triangle) นั้นเป็นแบบตรงข้ามกับสามเหลี่ยมมุมเงย(Ascending Triangle) ผู้ขายจะยังคงกดดันผู้ซื้อ และทำให้เราเริ่มที่จะเห็นจุด Lower High เคลื่อนตัวไปชนกับระดับแนวรับที่แข็งแรง
สามเหลี่ยมมุมก้ม (Descending Triangle) ทั่วไปจะเป็นสัญญาณขาลง เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากมัน เป้าหมายของเราคือ การวางตำแหน่งตัวเองให้ไปทำการ Short หากราคาได้มีการ Breakout ใต้ระดับแนวรับ
สามเหลี่ยมแบบสมมาตร (Symmetrical Triangles)
สามเหลี่ยมรูปแบบที่ 3 คือ สามเหลี่ยมแบบสมมาตร (Symmertrical Triangle) แทนที่จะเป็นการมีแนวรับในแนวนอน หรือระดับแนวต้านในแนวนอน ทั้งขาขึ้นและขาลงจะทำให้เกิดจุด Higher Low และ Lower High และประกอบเป็นจุดสูงสุดตรงกลาง
ต่างจากสามเหลี่ยมมุมเงย (Ascending Triangle) หรือสามเหลี่ยมมุมก้ม (Descending Triangle) ที่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นสัญญาณขาขึ้นและลง สามเหลี่ยมแบบสมมาตร(Symmertrical Triangle)จะไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง
ในกรณีของสามเหลี่ยมสมมาตร (Symmertrical Triangle)นั้น คุณต้องวางตำแหน่งคุณเองให้พร้อมสำหรับทั้งการ Breakout ด้านบนและด้านล่าง นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการใช้คำสั่ง OCO (One Cancels the Other) ลืมไปแล้วว่าคำสั่ง OCO คืออะไร กลับไปอ่านบทเรียนประเภทของคำสั่งอีกครั้ง
ในตัวอย่างนี้ GBP/USD ได้ทะลุผ่านเส้นด้านบนและจุดเข้าด้วยการ Long ของเราจะถูกกระตุ้น
วิธีการวัดความแข็งแรงของการ Breakout
1. ราคาอาจยังคงดำเนินต่อในทิศทางเดิม (การ Breakoutแบบไปต่อ)
2. ราคาอาจกลับตัวไปยังทิศทางตรงข้าม(การ Breakout แบบผันกลับ)
มีวิธีการตรวจสอบการเกิด Breakout และวิธีการหลีกเลี่ยงการ False Breakout
ซึ่งมีอยู่สองสามทางที่จะบอกได้ว่าเทรนด์นั้นดูเหมือนว่าจะอ่อนตัวลง และเกิดการ Breakout แบบผันกลับ
Moving Average Convergence Divergence (MACD)
คุณเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับตัวบ่งชี้ MACD หรือไม่? หากไม่ ควรกลับไปอ่านบทเรียนที่เกี่ยวกับ MACD อีกครั้ง
MACD คือ หนึ่งในตัวบ่งชี้พื้นฐานที่เป็นที่นิยมในการใช้สำหรับเทรดเดอร์ Forex และเหตุผลที่เลือกใช้มันนั้น เป็นเพราะมันง่าย แต่ก็ยังเชื่อถือได้และยังช่วยให้คุณสามารถหาการเคลื่อนไหวได้
MACD นั้นสามารถแสดงให้เห็นได้ในหลายรูปแบบแต่หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การมองมันให้เป็นฮิสโตแกรม สิ่งที่ฮิสโตแกรมนี้ทำ คือ แสดงความแตกต่างระหว่างเส้น MACD และเส้นสัญญาณ เมื่อฮิสโตแกรมใหญ่ขึ้น หมายถึง การเคลื่อนไหวนั้นมีความแข็งแรงมากขึ้น เมื่อฮิสโตแกรมเล็กลง หมายถึง การเคลื่อนไหวนั้นมีความอ่อนแรงลง
แล้วเราจะใช้มันในการหาการกลับตัวของเทรนด์ได้อย่างไรเรามาดูกัน
จำได้หรือไม่ว่าสัญญาณการเทรดที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ เรียกว่า Divergence และมันจะเกิดขึ้นเมื่อราคาและตัวบ่งชี้นั้นเคลื่อนที่ไปในทางตรงข้ามกัน และเนื่องจาก MACD แสดงให้เราเห็นถึงการเคลื่อนไหว มันดูเข้าใจได้ที่การเคลื่อนไหวนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อตลาดนั้นเกิดแนวโน้มขึ้น อย่างไรก็ตาม หาก MACD เริ่มลดลงแม้ว่าแนวโน้มยังดำเนินต่อไป คุณสามารถคิดไปได้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นลดลงและเทรนด์นั้นใกล้ที่จะจบลงแล้ว
จากภาพ คุณจะเห็นได้ว่า เมื่อราคานั้นเคลื่อนไปสูงขึ้น MACD จะเล็กลง ซึ่งมันหมายความว่า ถึงแม้ว่าราคานั้นจะยังคงเคลื่อนไปตามแนวโน้ม การเคลื่อนไหวจะค่อยๆเริ่มที่จะอ่อนลง และจากข้อมูลนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า มันมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดการกลับตัวของเทรนด์
Relative Strength Index (RSI)
RSI เป็นอีกตัวบ่งชี้การเคลื่อนไหวอีกตัวหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการยืนยันการ Breakout แบบผันกลับ โดยพื้นฐานแล้ว ตัวบ่งชี้นี้จะบอกเราถึงความต่างระหว่างราคาปิดสูงสุดและต่ำสุดสำหรับช่วงเวลานั้นๆ เราจะไม่ลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับมันมากเกินไป แต่ถ้าคุณอยากรู้เพิ่มเติม คุณสามารถเข้าไปดูได้ที่บทเรียนเกี่ยวกับ RSI
RSI สามารถใช้ด้วยวิธีที่คล้ายกับ MACD ได้โดยการที่มันจะสร้าง Divergence และหากสามารถหา Divergence เหล่านี้เจอ คุณจะสามารถหาการกลับตัวของเทรนด์ที่อาจเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม RSI ก็ยังดีต่อการหาว่าแนวโน้มนั้นมีการซื้อมากเกินหรือขายมากเกินนานแค่ไหนแล้ว ตัวบ่งชี้พื้นฐานจะบอกเราว่าสภาพตลาดนั้นมีการซื้อที่มากเกินไป ถ้าหาก RSI นั้นมีค่ามากกว่า 70 ในทางกลับกัน ตัวบ่งชี้พื้นฐานจะบอกเราว่าสภาพตลาดนั้นมีการขายที่มากเกินไป ถ้าหาก RSI นั้นมีค่าต่ำกว่า 30
และเนื่องจากว่า แนวโน้มมีการเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง คุณมักที่จะพบว่า RSI เคลื่อนที่ไปในพื้นที่ที่มีการซื้อ หรือการขายที่มากเกินไป ขึ้นอยู่กับว่าแนวโน้มของเทรนด์นั้น
ถ้าหากเราอ่านค่าแนวโน้มได้ว่ามีการซื้อหรือการขายที่มากเกินไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งและเริ่มที่จะเคลื่อนที่กลับมาในระดับของ RSI มันเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่จะส่งสัญญาณให้เรารู้ว่าแนวโน้มนั้นอาจเกิดการกลับตัว
ในตัวอย่างเดียวกับก่อนหน้านี้ RSI แสดงให้เห็นว่าตลาดนั้นได้อยู่ในสภาพที่มีการซื้อมากเกินไปมาแล้ว เมื่อ RS Iเคลื่อนกลับมาต่ำกว่าระดับที่ 70 มันเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัว
วิธีการตรวจจับตัว False Breakout
ถ้ารอราคาขยับไปทิศทางหนึ่ง อยู่ๆราคาเริ่มขยับไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างกระทันหัน
ระดับแนวรับและแนวต้านนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
สิ่งหนึ่งที่คุณควรจะจำไว้เกี่ยวกับระดับแนวรับและแนวต้านนั้นคือ พวกมันคือพื้นที่ที่สามารถคาดเดาการตอบสนองราคาที่สามารถคาดเดาได้
ระดับแนวรับ
ระดับแนวรับเป็นพื้นที่ที่มีแรงกดดันในการซื้อที่มากเพียงพอที่จะเอาชนะแรงกดดันการขายและการหยุดหรือย้อนแนวโน้มขาลงได้ ระดับแนวรับที่แข็งแรงนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถทำหน้าที่ของมันได้ถึงแม้ว่าราคาจะทะลุระดับแนวรับก็ตาม และยังให้โอกาสการซื้อที่ดีกับเทรดเดอร์อีกด้วย
ระดับแนวต้าน
ระดับแนวต้านนั้นเป็นเหมือนกับระดับแนวรับ เพียงแต่มันทำงานในทิศทางตรงกันข้าม พวกมันมักจะหยุดพักหรือแม้กระทั่งมีการกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้น ระดับแนวต้านนี้เป็นพื้นที่ที่แรงกดดันการขายนั้นมีมากเพียงพอที่จะเอาชนะแรงกดดันการซื้อ และกดราคาให้ต่ำลง ระดับแนวต้านที่แข็งแรงนี้นั้นมีโอกาสที่จะสามารถทำหน้าที่ของมันได้แม้ว่าราคาจะทะลุผ่านระดับแนวต้านไปชั่วคราวก็ตาม และยังให้โอกาสการขายที่ดีสำหรับเทรดเดอร์อีกด้วย
ในบทต่อไป เราจะลงลึกไปที่ False Breakout จะอธิบายวิธีและเหตุผลที่ใช้พวกมันในการซื้อขาย
มันไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้เพียงแค่กลยุทธ์ Breakout เนื่องจาก Breakout นั้นอาจผิดพลาดได้ในหลายๆครั้ง เราจึงจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าควรที่จะทำอะไรในกรณีที่มี False Breakout เกิดขึ้น
การซื้อขายแบบ False Breakout
※ การทำ False Breakout นั้น เป็นกลยุทธ์ระยะสั้นที่ดี แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่จะใช้ในระยะยาว
และโดยการเรียนถึงวิธีในการเทรด False Breakout นั้นจะสามารถช่วยให้คุณป้องกันการขาดสูญเสียได้สองเท่า การเทรด Breakout นั้นดึงดูดเทรดเดอร์ forex หลายคน แต่ทำไมหล่ะ?
ระดับแนวรับและแนวต้านนั้นควรที่จะเป็นราคาต่ำสุด (Floor) และราคาสูงสุด (Ceiling) และถ้าหากระดับเหล่านี้ถูกทะลุออกไป เทรดเดอร์จะคาดหวังว่าราคานั้นจะดำเนินต่อไปในทิศทางที่มันทะลุออกมา
ถ้าหากระดับแนวรับทะลุนั้นหมายความว่า การเคลื่อนไหวของราคานั้นจะเป็นไปในทิศทางขาลง และผู้คนมักจะทำการขายมากกว่าที่จะซื้อ ตรงกันข้าม หากระดับแนวต้านนั้นทะลุ ผู้คนจะเชื่อว่าราคานั้นจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกและมีแนวโน้มที่จะมีการซื้อมากกว่าที่จะขาย
เทรดเดอร์ Forex อิสระนั้นมีความโลภ พวกเขาเชื่อในการเทรดไปในทิศทางเดียวกับ Breakout พวกเขาเชื่อในผลกำไรอย่างมากที่จะได้จากการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่
ซึ่งมันไม่ง่ายอย่างนั้น ในความจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นั้น คือ การ Breakout นั้นมักจะผิดพลาด Breakout นั้นมักจะล้มเหลวเนื่องจากคนกลุ่มน้อยที่ฉลาดนั้นมักจะทำเงินจากคนกลุ่มใหญ่ คนกลุ่มน้อยที่ฉลาดนั้นมักจะประกอบไปด้วยผู้เล่นขนาดใหญ่ที่มีบัญชีและคำสั่งซื้อขายที่มหาศาล และเพื่อที่ขายสินค้า มันจำเป็นต้องมีผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนต้องการซื้อเหนือระดับแนวต้านและขายต่ำกว่าระดับแนวรับ ผู้กำหนดราคาจะต้องทำในทางตรงกันข้าม
เทรดเดอร์นั้นชอบการเทรด Breakout กลุ่มคนฉลาดกลุ่มน้อย องค์กร และเทรดเดอร์ที่เทรดชั่วคราวนั้นมักจะชอบการทำให้ False Breakout
เทรดเดอร์ Forex ที่ฉลาดจะใช้ประโยชน์จากความคิดของกลุ่มคนหรือเทรดเดอร์ที่ไม่มีประสบการณ์และทำกำไรได้ นี่เป็นเหตุผลว่าการเทรดข้างเทรดเดอร์ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์จะช่วยได้มาก
วิธีการเทรด False Breakout
Breakout ที่อาจเกิดขึ้นนั้นมักจะถูกพบที่ระดับแนวรับและแนวต้านที่สร้างขึ้นผ่านเส้นเทรนด์ไลน์, รูปแบบกราฟ หรือจุด High หรือ Low รายวันที่ผ่านมา
เส้นเทรนด์ไลน์(Trendline)
ในการทำ False Breakout จงจำไว้เสมอว่ามันควรที่จะมีช่องว่างระหว่างเส้นเทรนด์ไลน์และราคา
ถ้าหากมีช่องว่างระหว่างเส้นเทรนด์ไลน์และราคา มันหมายความว่าราคาจะเดินหน้าไปในทิศทางของเทรนด์และออกจากเส้นเทรนด์ไลน์ เหมือนในตัวอย่างด้านล่างนี้ การมีช่องว่างระหว่างเส้นแนวโน้มและราคาจะช่วยให้ราคาย้อนกลับไปหาเส้นเทรนด์ไลน์ อาจจะทะลุผ่านมันเป็นโอกาสที่มันจะ False
ความเร็วของการเคลื่อนไหวราคายังเป็นสิ่งที่สำคัญ
ถ้าหากราคากำลังขยับตัวขึ้นไปตามยังเส้นเทรนด์ไลน์ False Breakout นั้นก็คล้ายกัน อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวราคาที่เร็วไปตามเส้นเทรนด์ไลน์นั้นสามารถพิสูจน์การ Breakout ที่ประสบความสำเร็จได้ และด้วยการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนี้จะพาราคาผ่านเส้นเทรนด์ไลน์ออกไป ในสถานการณ์นี้ มันจะดีกว่าหากเราจะถอยห่างออกมากจากการ Breakout
แล้ว Fake เส้นเทรนด์ไลน์นั้นทะลุได้อย่างไร?
มันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงเข้าไปเมื่อราคาปรากฏขึ้น
มันจะช่วยให้คุณปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการเทรดที่เร็วเกินไป คุณคงไม่ต้องการที่จะขายในจุดที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ เพียงเพราะต้องการว่า Breakout นั้นเป็นเรื่องจริงหรอก
ใช้กราฟตัวอย่างแรกนี้ เราจะชี้ให้เห็นจุดการเข้าที่เป็นไปได้โดยการขยายเข้าไปเล็กน้อย
รูปแบบกราฟ
รูปแบบกราฟเป็นการรวมราคาที่เกิดอย่างธรรมชาติและสามารถเห็นได้จริงๆด้วยตาตัวเอง พวกมันเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค และยังช่วยในกระบวนการตัดสินใจของคุณได้ด้วย
รูปแบบพื้นฐานทั้ง 2 แบบ ที่ False Breakout มักจะเกิดขึ้นนั้นคือ:
– รูปแบบ Head and Shoulder
– รูปแบบ Double Top/Bottom
รูปแบบ Head and Shouder นั้นจะเป็นหนึ่งในรูปแบบที่ยากที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ใหม่ๆในการหารูปแบบกราฟ อย่างไรก็ตามด้วยเวลาและประสบการณ์ รูปแบบนี้จะสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือการเทรดของคุณ
รูปแบบ Head and Shoulder นั้นจะถือว่าเป็นการรูปแบบที่มีการกลับตัว มันเกิดขึ้นที่จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการกลับตัวแบบขาลง และในทางตรงกันข้าม หากมันก่อตัวขึ้นในจุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการกลับตัวแบบขาขึ้น รูปแบบ Head and Shoulder นั้นเป็นที่รู้จักในการสร้าง False Breakout และสร้างโอกาสที่สมบูรณ์แบบในการ False Breakout
เนื่องจากเทรดเดอร์หลายๆคนนั้นที่สังเกตได้ถึงการก่อตัวนี้มักจะวางจุด Stop Loss ไว้ใกล้กับจุด Neckline จะช่วยให้สามารถเห็น False Breakout ได้ดีในรูปแบบนี้
และเมื่อรูปแบบพบกับ false Breakout ราคามักจะเกิดการสะท้อนกลับ เทรดเดอร์ที่ได้ทำการขายใน Breakout ขาลงหรือผู้ที่ซื้อใน Breakout ขาขึ้นนั้นจะถูกกระตุ้น Stop Loss ของพวกเขาเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปในทางตรงข้ามกับตำแหน่งของพวกเขา
ในรูปแบบ Head and Shouder คุณสามารถคิดได้ว่าการทะลุในครั้งแรกนั้นเป็นสัญญาณหลอก
คุณสามารถเทรด False Breakout โดยใส่คำสั่ง Limit Order ไว้หลัง Neckline และวางจุด Stop Loss ของคุณไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เกิดการ False Breakout
คุณสามารถวางเป้าหมายไว้ต่ำกว่าจุดสูงสุดของไหล่ที่สองเล็กน้อยหรือว่าเหนือจุดต่ำสุดของไหล่ที่สองของรูปแบบการผันกลับเล็กน้อย
รูปแบบต่อไปนั้นจะเป็นDouble Top/Double Bottom
เทรดเดอร์นั้นรักรูปแบบเหล่านี้ นั่นเป็นเพราะพวกมันสามารถมองหาได้อย่างง่าย
เมื่อราคานั้นทะลุลงมาต่ำกว่าจุด Neckline มันจะส่งสัญญาณถึงการกลับตัวของเทรนด์ที่อาจเกิดขึ้นได้ และเพราะเหตุนี้ เทรดเดอร์หลายคนจึงได้วางจุดการเข้าไว้ใกล้กับจุด Neckline ในกรณีที่มีการกลับตัว
ปัญหาของรูปแบบเหล่านี้ คือ เทรดเดอร์เกือบทั้งหมดนั้นเข้าใจถึงเรื่องนี้ และวางคำสั่งไว้ในจุดที่ใกล้เคียงกัน
คล้ายกับรูปแบบ Head and Shouder คุณสามารถวางคำสั่งของคุณเมื่อราคากลับเข้าไปในเทรนด์ตลาดอีกครั้ง คุณสามารถวางจุด Stop Loss ของคุณไว้เลยเมื่อแท่งเทียนที่เกิด False Breakout ออกไปเล็กน้อย
แล้วสภาพตลาดแบบไหนที่ฉันควรจะ False Breakout?
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเกิดในตลาดที่มีขอบเขต อย่างไรก็ตามคุณไม่สามารถจะเพิกเฉยกับความอ่อนไหวของตลาด เหตุการณ์ข่าวสารที่สำคัญ ความรู้เบื้องต้นและการวิเคราะห์ตลาดในประเภทอื่นๆได้
ในตลาดทางการเงินจะใช้เวลาอย่างมากในการสะท้อนไปมาในขอบเขตกรอบราคา และจะไม่เบี่ยงเบนออกจากจุดสูงสุดและต่ำสุดไปมากเท่าไร
ช่วงกรอบราคานั้นจะถูกกำหนดโดยระดับแนวรับและแนวต้าน และผู้ซื้อและผู้ขายจะผลักดันราคาให้ขึ้นและลงอยู่ในกรอบระดับราคานั้นอย่างต่อเนื่อง การ False Breakout ในสภาพตลาดแบบกรอบขอบเขตราคานั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในบางช่วง ด้านหนึ่งจะมีอำนาจมากกว่าอีกด้านและจะทำให้เกิดแนวโน้มใหม่ขึ้น
สรุป: การเทรด Breakout และ False Breakout
การเทรด Breakout
ด้วยการเทรด Breakout นี้ เป้าหมายของเราคือ การเข้าตลาดทันทีที่ราคานั้นทำการ Breakout และจากนั้นก็ดำเนินไปตามแนวโน้มการเทรดจนกว่าความผกผันนั้นจะอ่อนตัวและหายไป
Breakout นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากพวกมันสามารถบอกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปทานและอุปสงค์ของคู่สกุลเงินที่คุณเทรดอยู่
คุณจะสังเกตได้ว่ามันต่างจากเทรดหุ้นหรือการซื้อขายแบบล่วงหน้า มันไม่มีทางที่คุณจะเห็นปริมาณที่เทรดใน Forex ได้เลย และเพราะเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งความผันผวนของตลาด
ความผันผวน เป็นการวัดความผันผวนของราคาโดยรวมในช่วงเวลาหนึ่ง และข้อมูลนี้จะใช้ในการตรวจหา Breakout ที่อาจเกิดขึ้นได้
อินดิเคเตอร์บางตัวนั้นสามารถช่วยให้คุณหาความผกผันของคู่สกุลเงินของคุณได้และการใช้ตัวบ่งชี้เหล่านี้จะสามารถช่วยคุณได้อย่างมากเมื่อคุณมองหาโอกาสในการเกิด Breakout
– ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
– Bollinger Bands
– Average True Range (ATR)
ประเภทของ Breakout
ประเภทของ Breakout นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท:
– แบบต่อเนื่อง
– แบบย้อนกลับ
ในการหา Breakout คุณสามารถหาได้จาก:
– รูปแบบกราฟ (Chart Pattern)
– เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendline)
– ช่องสัญญาณ (Channels)
– รูปสามเหลี่ยม (Triandgle)
คุณสามารถวัดความแข็งแรงของการ Breakout โดยการใช้สิ่งต่อไปนี้:
– MACD Indicator
– RSI
และสุดท้าย การ Breakout มักจะทำงานได้ดีที่สุดกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่าลืมตรวจสอบปฎิทิน Forex และข่าวสารก่อนที่จะการคิดว่าการเทรด Breakout นั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับสถานการณ์นั้นๆหรือไม่
การเทรด False Breakout
เทรดเดอร์จากองค์กรต่างๆนั้นจะชอบการ Fake Breakout ดังนั้น เราก็ควรที่จะเรียนรู้มันด้วยเช่นกัน ถ้าเราทำการเทรดในทางเดียวกับเทรดเดอร์จากองค์กรเหล่านี้ได้ก็จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเช่นกัน False Breakout นั้น หมายถึง การเทรดในทิศทางตรงข้ามของ Breakout คุณจะเทรด False Breakout ได้หากคุณเชื่อว่าการ Breakout จากระดับแนวรับหรือแนวต้านนั้นเป็นเรื่องโกหก และไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันได้
ในกรณีที่ระดับการทะลุจากแนวรับหรือแนวต้านนั้นมีความสำคัญ การ False Breakout ลงอาจกลายเป็นวิธีการเทรดที่ดีกว่าการเทรด Breakout ได้ Fake Breakout ที่อาจเกิดขึ้นนั้นมักจะถูกพบที่ระดับแนวรับและแนวต้านที่สร้างขึ้นผ่านเส้นเทรนด์ไลน์ รูปแบบกราฟ หรือจุด High หรือ Low รายวันที่ผ่านมา
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมักเกิดในตลาดที่มีขอบเขต อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถจะเพิกเฉยกับความอ่อนไหวของตลาด ความรู้เบื้องต้นและการวิเคราะห์ตลาดในประเภทอื่นๆ
ตลาดทางการเงินจะใช้เวลาอย่างมากในการสะท้อนไปมาในขอบเขตกรอบราคา และจะไม่เบี่ยงเบนออกจากจุดสูงสุดและต่ำสุดไปมากเท่าไร ช่วงกรอบราคานั้นจะถูกกำหนดโดยระดับแนวรับและแนวต้าน และผู้ซื้อและผู้ขายจะผลักดันราคาให้ขึ้นและลงอยู่ในกรอบระดับราคานั้นอย่างต่อเนื่อง การ Fake Breakout ในสภาพตลาดแบบกรอบขอบเขตราคานั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงด้านหนึ่งจะมีอำนาจมากกว่าอีกด้านและจะทำให้เกิดแนวโน้มใหม่ขึ้น
และท้ายที่สุด โอกาสที่จะเกิด False Breakout นั้นจะมากขึ้นหากไม่มีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญหรือตัวกระตุ้นข่าวสาร ที่จะช่วยกระตุ้นความสนใจของเทรดเดอร์ไปในทิศทางที่ Breakout จะเกิดขึ้น