เนื้อหาในบทความนี้
สภาพแวดล้อมการซื้อขาย
ตลาด Forex ให้โอกาสของ Rangeและเทรนด์มากมาย
หากทราบกลยุทธ์ก็จะทราบว่าควรต้องใช้ตัวบ่งชี้ตัวไหนตัวอย่างเช่น Fib และเส้นเทรนด์ไลน์นั้นมีประโยชน์ในตลาดเทรนด์มาก ในขณะที่ pivot point ระดับแนวรับและแนวต้านนั้นจะมีประโยชน์มากเมือตลาดนั้นมีการเคลื่อนไหวเป็นช่วงๆสถานการณ์ตลาดแบ่งได้เป็น 3 สถานการณ์1. แนวโน้มขาขึ้น(Trending Up)
2. แนวโน้มขาลง(Trending Down)
3. ราคาวิ่งในกรอบราคา(Ranging)Ranging คือ ส่วนที่นอกเหนือแนวโน้มขาขึ้น,ขาลง
ตลาดการซื้อขาย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายถึง ทิศทางของตลาด
ตัวอย่างเช่น หากราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้นก็จะเรียกว่า 「เทรนด์ขาขึ้น (Trending Up)」 และเมื่อราคาตกลงมาด้านล่างก็จะเรียกว่า 「เทรนด์ขาลง (Trending Down)」
ADX ในตลาดที่เป็นเทรนด์คืออะไร
ADX เป็นความอ่อนแอของ ตัวบ่งชี้ดัชนีทิศทางเฉลี่ย (Average Directional Index indicator) เป็นหนึ่งตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่ใช้เพื่อตรวจสอบทิศทางของเทรนด์
วิธีการใช้โดยทั่วไปของ ADX มีดังต่อไปนี้
กรณี ADX ที่มีความช้า:
Ranging มีสถานะไม่มีเทรนด์ หากเป็นสถานะนี้ต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าเป็นการเริ่มเทรนด์ใหม่
กรณี ADX ที่มีความเร็ว:
การที่แนวโน้มขึ้นไปเรื่อยๆ หากเป็นสถานะนี้ต่อไป คิดว่าเทรนด์จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า
ตามที่กล่าวมานี้ การซื้อขายเมื่อเปลี่ยนเทรนด์ขาลงและเทรนด์ขาขึ้นอาจจะทำให้ทำกำไรได้ง่ายขึ้นก็ได้
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในตลาดที่เป็นเทรนด์
หากคุณรู้สึกว่าการใช้ ADX ยาก เราขอแนะนำให้คุณใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (Simple Moving Average: SMA)
ลองพิจารณาตัวอย่างระยะ 7 ช่วง 20 ช่วง และ 65 ช่วงเวลาของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย(Simple Moving Average)
หากเส้น SMA ของ 7 ช่วงนั้นขยายไปอยู่บนเส้น SMA ของ 20 ช่วง และSMA ของ 20 ช่วงอยู่บน SMA ของ 65 ช่วง นั่นแปลว่าราคาอยู่ในช่วงขาขึ้น
ในทางกลับกัน หาก SMA ของ 7 ช่วงอยู่ต่ำกว่า SMA ของ 20 ช่วง และ SMA ของ 20 ช่วงอยู่ต่ำกว่า SMA ของ 65 ช่วง นั่นแปลว่าราคาจะอยู่ในช่วงขาลง
Bollinger Bands ในตลาดที่เป็นเทรนด์
ตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่เพิ่มเส้นที่แสดงค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และเส้นความผันผวนของราคาด้านบนและด้านล่าง
ศูนย์กลางของ Bollinger Band คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นและลดลงซ้ำแต่ มักกล่าวกันว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มจะขยับใกล้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และไม่ค่อยออกจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ Bollinger Band ขึ้นอยู่กับความคิดนี้
Bollinger Band จะทำให้เราเห็นภาพเทรนด์ และสามารถยืนยันได้ง่ายขึ้น ช่วงขาลงจะสามารถยืนยันได้เมื่อราคานั้นอยู่ในโซนขาย ช่วงขาขึ้นนั้นจะสามารถยืนยันได้เมื่อราคานั้นอยู่ในโซนซื้อ
การคำนวณ Bollinger Band
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน: σ (sigma)
= √ (ผลรวมกำลังสองของการปิดราคาต่อวันหรือไม่? N กำลังการผลิตรวมของราคาปิดต่อวัน) / (ระยะเวลา× (ระยะเวลา 1))
เส้น±1σ … จำนวนเส้นเฉลี่ยเคลื่อนที่±ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เส้น±2σ … ค่าของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่± 2 ×ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เส้น±3σ … ค่าของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่± 3 ×ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
※ช่วงเวลาพื้นฐานที่ใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน: 9 วัน, 20 วัน, 25 วันและอื่น ๆ
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเข้าใกล้ (หรือขัดจังหวะ) เส้น-2σและเส้น-3σมันจะถูกตัดสินว่า 「ต่ำเกินไป」 และในทางตรงกันข้ามเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนเข้าใกล้ (หรือทะลุผ่าน) เส้น + 2σและ+3σบรรทัด เมื่อไหร่) ก็พิจารณาได้ว่าเป็นสถานะที่ขึ้นไปมาก ถ้าใช้ที่ทำการขายก็จะดี
ตลาดจำกัดช่วงขอบเขต (Ranging-Bound Market)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Rangeลองตรวจสอบลักษณะการเคลื่อนที่จากในขอบเขตที่กำหนดในกราฟดู
ADX ใน Ranging Market (ดัชนีทิศทางเฉลี่ย)
หนึ่งวิธีที่จะสามารถระบุได้ว่าตลาดเป็น Ranging Market หรือไม่ สามารถทำได้โดยการใช้ ADX อย่างที่เราได้อธิบายไปก่อนหน้า
โปรดจำไว้เสมอว่า ยิ่งค่า ADX น้อยลงเท่าไร เทรนด์ของตลาดก็จะอ่อนลงเท่านั้น
Bollinger Bands ใน Ranging Market
Bollinger Bands จะหุบแคบลงเมื่อมีความผันผวนในตลาดน้อย และจะขยายขึ้นเมื่อมีความผันผวนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Bollinger Band เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับกลยุทธ์แบบ Breakout
เมื่อ Bollinger Band หุบแคบลงนั่นหมายถึงตลาดมีความผันผวนต่ำ และราคาน่าที่จะเคลื่นไหวเพียงเล็กน้อยไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อ Band เริ่มที่จะขยายกว้างขึ้น ก็หมายถึงความผันผวนที่มีมากขึ้นและราคาจะไม่วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน
โดยทั่วไปช่วงราคาจะมีช่วงที่แคบเมื่อเทียบกับเวลาที่ Band ขยายใหญ่ อย่างกรณีในภาพตัวอย่าง เราจะเห็นว่า Bollinger bands หดตัวลง และราคานั้นเคลื่อนไหวในกรอบราคาที่แคบมาก
แนวคิดพื้นฐานในการเทรดในตลาดที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบแบบนี้ คือ คู่สกุลเงินนั้นมีราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดที่มันมักจะเทรดอยู่ระหว่างนั้น
และด้วยการซื้อใกล้กับแนวรับ เทรดเดอร์ forex นั้นจะหวังว่าจะได้กำไรเมื่อราคาขึ้นมาที่ระดับแนวต้านและด้วยการขายในระดับแนวต้าน เทรดเดอร์จะหวังว่าจะปิดทำกำไรทีระดับแนวรับ เครื่องมือที่เป็นที่นิยมใช้นั้นคือ ช่องส่งสัญญาณ เช่นอย่างที่ได้แสดงไว้ด้านบนและ Bollinger Band
นอกจากนี้ การใช้ Oscillators อย่าง Stochastic และ RSI จะช่วยคุณหาและยืนยันจุดกลับตัวของราคาในกรอบราคาได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมันสามารถช่วยระบุเงื่อนไขการซื้อและการขายที่มากเกินไปได้
นี่คือตัวอย่าง โดยใช้สกุลเงิน GBP/USD
เคล็ดลับ: คู่สกุลเงินดีที่สุดสำหรับกลยุทธ์แบบ Range-Bound นี้คือ Cross currency คู่เงินที่เป็นที่นิยมเทรดแบบนี้คือ EUR/CHF เพราะอัตราการเติบโตของสหภาพยุโรปและสวิสเซอรืแลนด์มีความใกล้เคียงกันมาก ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของทั้งสองสกุลมีเสถียรภาพมาก
โบนัส: คู่สกุลเงินที่ดีที่สุดสำหรับกลยุทธ์แบบ Range-Bound เมื่อทำการซื้อขายกลยุทธ์ที่มีขอบเขตคือเงินครอส Cross currency คือคู่สกุลเงินที่ไม่รวม USD
สรุป
ไม่ว่าตลาดอยู่ในสภาวะไหน มีแนวโน้ม (Trending Market ) หรือว่าราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคา (Ranging Market) ก็ตาม คุณควรรู้ว่าคุณสามารถทำกำไรได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม
หาวิธีที่คุณเลือกจุดสูงสุดหรือต่ำสุดในทั้งสภาพแวดล้อมตลาดที่เป็นเทรนด์และแบบที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบราคา
การเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมการเทรดว่าเป็นเช่นไร จะทำให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์เหล่านั้นได้
เทรนด์เกิด Retracement หรือกลับตัว(Reversal)
หากดูกราฟนี้อย่างผิวเผิน การเคลื่อนไหวของราคาถูกรวมและอาจจะคิดว่าเป็นเวลาที่จะทำการซื้อแล้ว แต่คุณคิดผิด เนื่องจากสิ่งนี้ คือ Retracement
ไม่มีใครอยากเผชิญกับRetracement แต่สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
ในตัวอย่างด้านบน เทรดเดอร์ forex ไม่สามารถที่จะแยกความแตกต่างระหว่าง Retracement และการกลับตัวได้
แทนที่จะอดทนและไปตามแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์กลับเชื่อว่าการกลับตัวอยู่ในการเคลื่อนไหวของราคา จะทำให้เกิดการขาดทุนได้
ในบทเรียนนี้ คุณจะได้เรียนรู้ลักษณะของ Retracement และการกลับตัว(Reversal)
โดยจะแนะนำวิธีการแยก Retracement และ Reversal และวิธีการป้องกันคุณออกจากสัญญาณหลอก
Retracement ของเทรนด์คืออะไร?
เป็นราคาที่ขึ้นลงซ้ำไปมา หรือราคาลงและกลับมาขึ้น
ตามที่กล่าวมานี้ เรียกว่า Retracement รูปแบบที่ราคากลับเพียงหนึ่งครั้ง
แนวโน้มการกลับตัว(Reversal) คืออะไร
แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มที่เกิดขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว ตัวอย่างเช่น แนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่องแต่มีการเปลี่ยนเป็นเเนวโน้มขาขึ้นด้วย เรียกว่า รูปแบบการกลับตัว(Reversal)
โดยดูตัวอย่างได้จากกราฟด้านล่างนี้
ควรทำอย่างไรหากเกิดRetracementและการกลับตัว(Reversal)?
เมื่อคุณพบกับโอกาสที่น่าจะเกิด Retracement หรือการกลับตัว คุณมี 3 ตัวเลือกให้เลือกทำ
1. หากคุณถือตำแหน่งอยู่ให้ดูสถานการณ์ ถ้าหาก Retracement ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ให้ระวังเนื่องจากมีความอันตรายที่จะเกิดการขาดทุนได้
2. หากคุณปิดตำแหน่งและให้ลองเข้าตำแหน่งอีกครั้ง แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วทิศทางของเทรนด์ไม่เปลี่ยนแปลงและโอกาสที่สามารถได้รับกำไรก็จะลดลงครึ่งหนึ่ง
3. หากคุณปิดตำแหน่งถาวร สามารถแบ่งกำไรหรือขาดทุนตามการขยับที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
และเนื่องจากการกลับตัวนี้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้การเลือกตัวเลือก 3 อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ซึ่งการจัดการความเสี่ยงนั้นสำคัญมากเพื่อให้สามารถจัดการได้ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด
วิธีการแยกการกลับตัว(Reversal)
โดยได้แยกความแตกต่างของทั้งสองแบบไว้ ดังนี้
Retracement | การกลับตัว (Reversal) |
---|---|
มักจะเกิดขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่ | สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ |
ระยะสั้น มีระยะเวลาการกลับตัว(Reversal)ที่สั้น | การเคลื่อนไหวของราคาระยะยาว |
สภาพพื้นฐาน (อย่างเช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐศาสตร์มหภาค) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง | สภาพพื้นฐานนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งมักจะเป็นตัวเร่งสำหรับการกลับตัวระยะยาว |
ในช่วงขาขึ้น เราจะเห็นความสนใจในการซื้อ ทำให้ราคานั้นจะปรับตัวขึ้นไป และในช่วงขาลง เราจะเห็นความสนใจในการขาย ทำให้ราคานั้นปรับตัวลง | ในช่วงขาขึ้น เราจะเห็นความสนใจซื้อน้อยมาก ทำให้ราคานั้นถูกกดลงให้ต่ำกว่าเดิม และในช่วงขาลง เราจะเห็นความสนใจที่จะขายน้อยมาก ทำให้ราคานั้นถูกปรับให้สูงขึ้นเรื่อยๆ |
การระบุ Retracement
วิธีนิยมที่ระบุ Retracement นั้นคือการใช้ระดับ Fibonacci
โดยส่วนใหญ่ Retracement ของราคานั้นจะอยู่ในช่วงระดับ Fibonacci Retracement ที่ระดับ 38.2% 50.0% และ 61.8%
หากราคานั้นผ่านระดับ3ระดับเหล่านี้ไป ในช่วงแรกมันอาจเป็นสัญญาณว่าการกลับตัว(Reversal)กำลังเกิดขึ้นก็ได้
อย่างที่คุณอาจจะรู้แล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้มีความหมายแน่นอนโดยเฉพาะในตลาด Forex
ในกรณีนี้ ราคาขึ้นและราคาจะคงอยู่ที่ระดับ fibonacci retractment ที่ 61.8% ก่อนกลับสู่แนวโน้มขาขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ราคาปรับขึ้นอีกครั้งและคงอยู่ที่ระดับ retracement ที่ 50%
อีกวิธีการอื่นที่สามารถดูว่าราคานั้นอยู่ในระดับการกลับตัว(Reversal)หรือไม่ สามารถทำได้โดยการใช้จุด Pivot Point
ในแนวโน้มขาขึ้น เทรดเดอร์จะมองหาจุดแนวรับที่ต่ำ (S1,S2, S3) และรอให้มันหัก(Break)ลงมาจากจุดแนวรับนั้น ในแนวโน้มขาลง เทรดเดอร์จะมองหาจุดแนวต้านที่สูง (R1,R2,R3) และรอให้มันหัก(Break)จากจุดแนวต้านนั้น
และถ้ามันทะลุ(Break)ผ่านเส้นเหล่านี้ การกลับตัวอาจกำลังเกิดขึ้น! สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือข้อมูลใหม่อื่นๆเพิ่มเติม ลองเข้าไปดูในบทเรียนเรื่อง Pivot Point
วิธีสุดท้ายคือการใช้เส้นเทรนด์ไลน์(Trend Line) เมื่อเส้นเทรนด์ไลน์หลักนั้นมีการหักตัว จะหมายความได้ว่าการกลับตัวนั้นอาจกำลังเกิดขึ้น
และด้วยการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนี้เข้ากับรูปแบบกราฟแท่งเทียนที่เราได้อธิบายไปก่อนหน้า เทรดเดอร์ Forex นั้นอาจมีโอกาสในการกลับตัวของราคาที่สูงขึ้น
ในขณะที่วิธีเหล่านี้สามารถระบุถึงการกลับตัวได้ แต่พวกมันไม่ใช่วิธีเดียวที่สามารถทำได้ และสุดท้าย ไม่มีอะไรมาทดแทนการฝึกฝนและประสบการณ์ได้ ด้วยเวลาที่เพียงพอ คุณสามารถหาวิธีที่เข้ากับแนวพฤติกรรมการเทรด Forex ของคุณที่จะช่วยในการระบุ Retracementและการกลับตัว(Reversal)
วิธีป้องกันตัวเองจากการกลับตัว(Reversal)
เนื่องจากจุด Stop Loss จะช่วยรักษาเงินทุนอย่างที่เราได้บอกไปก่อนหน้านี้ การกลับตัว (Reversal) สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่ง Retracement สามารถเปลี่ยนเป็นการกลับตัว(Reversal) ได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการหยุดความต่อเนื่องของเทรนด์จึงควรต้องระมัดระวัง
ดังนั้น การตั้งจุด Stop Loss จะช่วยป้องกันการขาดทุนและสามารถช่วยรักษาเงินทุน
สรุป
หากคุณรู้ความแตกต่างระหว่าง Retracement และการกลับตัว (Reversal) มันจะช่วยให้ลดความสูญเสียและมีโอกาสทำกำไรได้สูงขึ้น ทั้งนี้ความสามารถในฐานะเทรดเดอร์นั้นเติบโตได้